ผู้ค้าเครื่องปั้นดินเผาลำพูนจุก ผู้นำเข้าสหรัฐเริ่มขอลดราคาสินค้าแล้ว

ผู้ประกอบการเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดลำพูน นับถอยหลังการใช้มาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศสหรัฐ พร้อมจับตาทีมเจรจาของไทยกำลังพูดคุยกับทีมของสหรัฐ ชี้ตอนนี้ได้รับผลกระทบแล้ว สะท้อนผ่านเสียงจากคู่ค้าเริ่มขอลดราคา

นายกิตติกร กาญจนคูหา ผู้จัดการฝ่ายส่งออก หจก.ชวนหลงเซรามิค เครื่องปั้นดินเผา (ม้า เซรามิค) จากเตาชวนหลง จังหวัดลำพูน ระบุว่า สินค้าส่วนใหญ่ของบริษัทส่งออกไปตลาดสหรัฐ ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีแผนจะหาตลาดเพิ่ม แต่เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการทางภาษีของสหรัฐ ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ จึงคิดว่าต้องหาตลาดอื่นเพิ่มให้มากขึ้น แต่ก็ต้องรักษาตลาดเดิมไว้อยู่อย่างตลาดสหรัฐ

ล่าสุดต้องรอดูว่าการเจรจานี้ มาตรการทางภาษีจะมีผลออกมาอย่างไร ที่ผ่านมา แม้ไม่มีมาตรการภาษี แต่สินค้าในกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐจะถูกเก็บภาษี 6% อยู่แล้ว โดยหลักการภาษีนำเข้าจะเป็นหน้าที่ของผู้นำเข้าปลายทาง แต่ในทางปฎิบัติจริงภาษี คือ “ส่วนลด” ที่ผู้ซื้อจะใช้ต่อรองจากผู้ส่งออกหรือผู้ผลิต

ดังนั้น ถ้าสหรัฐเก็บภาษีสูง การต่อรองขอส่วนลดก็จะสูงตามไปด้วย และผู้ผลิตจะต้องกลับมาบริหารจัดการต้นทุนเพื่อคงสัดส่วนกำไร แต่หากทำไม่ได้อาจต้องยอมลดกำไรลง ซึ่งหมายถึงรายได้ที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจ รวมถึงสายป่านที่จะประคองธุรกิจให้ฝ่าความท้าทายต่าง ๆ นั้นจะลดลงไปเรื่อย ๆ เหมือนขีดความสามารถการแข่งขันทั้งกับคู่แข่ง ตัวเอง และความท้าทายลดลงไปทุกวัน

เบื้องต้น ตอนนี้สินค้าถูกเก็บภาษีจาก 6% ไปที่ 10% แต่หากต้องถูกเก็บภาษีที่ 36% จริง ๆ ยอมรับว่าจะกระทบสูงมาก ปัจจุบันเริ่มมองหาแนวทางปรับตัวด้วยการนำเสนองานดีไซน์ที่คงความโดดเด่น สวยงาม แต่มีความซับซ้อนชิ้นงานน้อยลง เพื่อลดต้นทุนและทำราคาขายได้มากขึ้น ทำให้จำนวนชิ้นงานยังคงมีจำนวนมาก แต่มูลค่าแต่ละชิ้นจะลดลง ซึ่งแนวทางนี้ ผู้ซื้อที่สหรัฐ ค่อนข้างพอใจและยอมรับได้ แต่แนวทางนี้ยังไม่สามารถประเมินผลได้หากถูกภาษีในอัตราที่สูง เพราะผู้นำเข้าที่สหรัฐ ก็เผชิญแรงกดดันหลายทาง ทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาขายที่ต้องสูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

“มีสัญญาณมาสักระยะแล้ว คือ การชะลอคำสั่งซื้อ การรอให้สต๊อกหมดจึงสั่งใหม่ และการต่อรองราคา หรือขอส่วนลดที่มากขึ้นเพื่อชดเชยอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น”

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดสหรัฐมีความโดดเด่นเฉพาะตัว คือมีกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อที่สูง ประกอบกับขนาดตลาดที่ใหญ่มาก เช่น บริษัทส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อราว 200-300 ชิ้นต่อครั้ง ผู้นำเข้านำไปวางที่สโตร์ที่มี 4,000 แห่งทั้งสหรัฐ จึงใช้เวลาไม่นานสินค้าจะขายหมด ดังนั้นมองว่าตลาดสหรัฐยังมีโอกาสที่ดีอยู่ แต่ต้องเสริมกำลังและศักยภาพให้ผู้ประกอบการคงสายป่านและประคองตัวผ่านวิกฤตครั้งนี้ และที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตไปให้ได้

สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล อยากให้นำงานแสดงสินค้าที่มุ่งเสนอแต่งานดีไซน์ หรืองาน BIG เฉพาะกลับมา เพราะเดิมเคยได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่รวมอยู่ในโปรแกรมการร่วมงานควบคู่ไปกับงานที่ฮ่องกงและอินเดีย แต่ปัจจุบันงานดังกล่าวไม่มีแล้ว หลังจากที่นำไปรวมกับงานแสดงสินค้าอื่น ทำให้ไม่มีความโดดเด่นด้านการดีไซน์ จึงไม่มีผู้นำมาร่วมงาน แต่ยังคงเดินทางไปยังอินเดียและฮ่องกงแทน

ในส่วนแนวทางรับมือปัญหาภาษีสหรัฐ อีกด้านหนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแนวทางการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันการค้า

พิจารณาศึกษาแนวทางและมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับบริบทของประเทศไทย สาระสำคัญของเรื่องว่าด้วยการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มพิจารณาแนวทางในการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล แม้ว่ากลไกของร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้การกำกับดูแล การบังคับใช้และบทกำหนดโทษมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน

“แต่การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพตามหลักสากล นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศไทยแล้ว ยังอาจใช้เป็นประโยชน์ในการต่อรองกับมาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศสหรัฐได้”