70 ปีไทย-เมียนมา “กาญจนบุรี” เปิดประตูการค้า เชื่อมภูมิภาค “ตะนาวศรี”

ประเทศไทยและเมียนมามีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ทั้งการค้า การลงทุน ภูมิประเทศ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งปี 2561 จะครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เมียนมา รวมถึงเมียนมาเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยมากที่สุด มีระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร มีการค้าขายกันมาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดกรมกรมค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับจังหวัดกาญจนบุรี จัดงาน “หุ้นส่วนเศรษฐกิจชายแดนไทย-เมียนมา” (Thailand-Myanmar Economic Partnership) ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยได้เชิญ H.E.Dr.Lei Lei Maw มุขมนตรีแห่งภูมิภาคตะนาวศรี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลภูมิภาคตะนาวศรี เลขาธิการของรัฐบาลภูมิภาคตะนาวศรี ข้าราชการ และประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมภูมิภาคตะนาวศรี เข้าร่วมงาน

“สกนธ์ วรัญญูวัฒนา” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมา-ไทย โดยเฉพาะภูมิภาคตะนาวศรี-กาญจนบุรี ให้มีความยั่งยืนต่อไป โดยจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่ามูลค่าการค้าระหว่างไทย-เมียนมา ช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ปี 2561 อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเพิ่มขึ้นมากถึง 10% นับว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมหารือความร่วมมือถึงแนวทางและโอกาสของการทำข้อตกลงการค้า การลงทุน ระหว่างรัฐตะนาวศรีกับจังหวัดกาญจนบุรี

โดยข้อตกลงเบื้องต้น คือ การรับทราบนโยบายของไทยในการมุ่งเน้นเข้าไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้า และเปิดโอกาสให้สามารถนำเข้าจากเพื่อนบ้านมาสู่ไทย และขยายตัวสู่ประเทศอื่นๆ ต่อไป อีกทั้งเปิดโอกาสฝึกอบรมพัฒนาผู้ประกอบการเมียนมาให้มีความสามารถในการทำธุรกิจที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ภูมิภาคตะนาวศรี เมียนมา กับเขตเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี ให้เจริญก้าวหน้า ทั้งการค้า การลงทุน การบริการ และการท่องเที่ยว

“H.E.Dr.Lei Lei Maw” มุขมนตรีแห่งภูมิภาคตะนาวศรี เมียนมา กล่าวว่า ภูมิภาคตะนาวศรีมีพื้นที่ประมาณ 400,000 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 3 อำเภอ 11 ตำบล มีประชากรประมาณ 1.4 ล้านคน ซึ่งอาชีพหลัก ได้แก่ การเกษตร เลี้ยงปลา แร่ และธุรกิจโรงแรมที่เป็นธุรกิจหลัก โดยการประชุมในครั้งนี้ถือเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาการค้าและการลงทุน มองว่าทุกอย่างต้องมีก้าวแรก ซึ่งอนาคตจะเกิดความมั่นคงและมั่งคั่งในการลงทุนและการค้าขายใน 2 ประเทศต่อไป

โดยปัจจุบันธุรกิจที่ภูมิภาคตะนาวศรีต้องการให้มาลงทุน อันดับแรกคือ ธุรกิจโรงแรม ไฟฟ้า เกษตร น้ำประปา เหมืองแร่ และแปรรูปเกษตร ซึ่งการลงทุนในเขตตะนาวศรีนั้น หากเงินลงทุนไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ จะอยู่ในความดูแลของมุขมนตรีแห่งภูมิภาคตะนาวศรี สามารถเซ็นอนุมัติได้เลย แต่หากเงินลงทุนเกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ต้องขออนุมัติจากเมืองหลวง

เนย์ปิดอว์ โดยการลงทุนนั้น นักลงทุนต่างชาติจะเป็นการเช่าที่ดินและลงทุน โดยครั้งแรกสามารถเช่าที่ดินได้ระยะเวลา 5 ปี ต่อได้ 5 ปี และต่ออีก 10 ปี ซึ่งสามารถเช่าที่ดินได้สูงสุด 70 ปี โดยระหว่างที่ก่อสร้าง นักลงทุนไม่ต้องเสียภาษี จนกว่าการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้เรียบร้อย

“ขอเปิดประตูต้อนรับนักลงทุนทุกคน หากต้องการข้อมูลอะไร สามารถเข้ามาติดต่อและปรึกษาได้ โดยจะแนะนำผู้ที่ดูแลในเรื่องนั้นต่อไป ซึ่งขอให้นักลงทุนเข้ามาศึกษาพื้นที่ก่อนการลงทุน ส่วนด้านความปลอดภัย ขอรับประกันว่าทุกคนจะอยู่ในความดูแลของทางรัฐบาลเมียนมา และขณะนี้ในอำเภอทวายมีเศรษฐกิจหลัก คือ ท่าเรือน้ำลึกทวาย และกำลังสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยเป็นความร่วมมือจากทั้งรัฐบาลไทย เมียนมา และญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นได้วางแผนการพัฒนาเมืองเศรษฐกิจนี้แล้ว รวมถึงขณะนี้ได้รับการอนุมัติกู้เงินจากรัฐบาลไทย ในการสร้างถนนเชื่อมจากด่านค้าชายแดนทิกิ เมืองทวาย กับด่านบ้านพุน้ำร้อน หากแล้วเสร็จทวายจะได้พัฒนาทั้งเศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยว” Dr.Lei Lei Maw กล่าว

“ปัญญา วุฒิประจักษ์” ประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การค้าชายแดนระหว่างกาญจนบุรี-เมียนมาเริ่มมีอนาคตขึ้นหลังจากจบงานนี้ โดยปัจจุบันการค้าชายแดนที่ด่านบ้านพุน้ำร้อนมีมูลค่าประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อเดือน สินค้าส่งออกได้แก่ ผัก ผลไม้ และที่สำคัญคือ วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง เนื่องจากเมียนมาอยู่ระหว่างสร้างเมืองเพื่อรองรับกับไทย โดยเนื้อที่ในการพัฒนาของเมียนมาประมาณ 20,000 ไร่ ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากงานนี้จบ 6 เดือน มูลค่าการค้าชายแดนจะสูงขึ้น 40-50%

นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านบ้านพุน้ำร้อนไปด่านบ้านทิกิ เมืองทวาย ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนฝั่งเมียนมาเซ็นสัญญากู้เงินจากไทย 4,500 ล้านบาท โดยโครงการนี้จะช่วยร่นระยะเวลาเดินทางเหลือเพียง 2 ชั่วโมง จากเดิม 5 ชั่วโมง โครงการระยะเวลา 3 ปี จะต้องแล้วเสร็จปี 2563 พร้อม ๆ กับโครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี ทั้งนี้คาดว่าเมื่อทั้งหมดแล้วเสร็จจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนเติบโตขึ้นจากปัจจุบัน 300% หรือทะลุ 1,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน

“ขณะนี้ทางฝั่งเมียนมายังขาดเรื่องไฟฟ้า ซึ่งได้มีการมาปรึกษาหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรีให้ช่วยเหลือ สนับสนุน โดยเรากำลังประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ให้ช่วยนำไฟฟ้าเข้าไปขายฝั่งเมียนมา เบื้องต้นจะนำเข้าไป 2 เมกะวัตต์ ครอบคลุมระยะทางห่างจากด่านบ้านพุน้ำร้อน 12 กิโลเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องใบอนุญาต คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน” ปัญญากล่าว

ทั้งนี้ ภายในงานนอกจากจะมีการประชุมร่วมภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อหาแนวทางผลักดันและส่งเสริมการค้าชายแดนระหว่างไทย-เมียนมาแล้ว ยังมีการลงนามข้อตกลงการร่วมลงทุนโรงงานแปรรูปไม้ยางพาราเพื่อการส่งออก ระหว่างนักธุรกิจไทยและเมียนมา ซึ่งได้จัดตั้งบริษัท Unity Dawei-Thai Golden Wood จำกัด โดยมี Mr.Ye Htut Naing ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมภูมิภาคตะนาวศรี เมียนมา เป็นผู้ลงนามร่วมกับนางวราพรรธน์ นภาสินชัยบูรณ์ และนายชวโรจน์ ชื้อเจริญศักดิ์ ไทย เมียนมา นับเป็นเมืองคู่มิตรอีกเมืองหนึ่งที่น่าจับตามอง