เตรียมบิ๊กคลินนิ่งถ้ำหลวง ออสซี่เล็งจับมือไทยร่วมฝึกดำน้ำ

วันนี้ (13 ก.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริเวณปากทางเข้าถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย การขนย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาจากถ้ำเบาบางลง โดยมีเพียงเจ้าหน้าที่วนอุทยานและตำรวจ สภ.แม่สาย ดูแลบริเวณทางเข้าออกอย่างเข้มงวด แต่ไม่มีการขนย้ายอุปกรณ์หนักเพิ่มเติม ขณะที่ทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โป่งผา ได้เปิดให้ประชาชนเข้าสมัครเป็นจิตอาสาฯ เพื่อเข้าร่วมโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา ระหว่างวันที่ 12-13 ก.ค.นี้ ภายหลังมีการเยาวชนทีมหมูป่าอะคาดามี แม่สาย ทั้ง 13 คนออกจากถ้ำไปจนหมด และตอนนี้มีอาสาสมัครแล้วประมาณ 1,000 คน

ในวันเดียวกันนายวิสูตร คำยอด ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย ได้นำคณะส่งนายแพทย์ริชาร์ด แฮลิสวิสัญญีแพทย์และคณะนักดำน้ำชาวออสเตรเลียที่ไปร่วมปฏิบัติการดังกล่าวเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยมีเครื่องบินพิเศษเครื่องบินพิเศษกองทัพอากาศประเทศออสเตรเลียนำเดินทางกลับในเวลา 06.00 น.

ด้านนาย Paul Robilliard เอกอัครราชทูตประเทศออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปพบนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการ จ.พะเยา ปัจจุบันเป็นอดีตผู้บัญชาการศูนย์ฯ ที่โรงแรมแม่โขง เดลต้า อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยนาย Paul Robilliard ได้กล่าวขอบคุณในความร่วมมือและการที่ประเทศไทยได้ให้ทีมช่วยเหลือจากประเทศออสเตรเลียเข้าร่วมในปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาดามีแม่สายทั้ง 13 คนจนประสบความสำเร็จ ซึ่งเอกอัคราชฑูตได้มอบเสื้อให้กับนายณรงค์ศักดิ์ โดยแขนขวาของเสื้อมีสัญลักษณ์ความร่วมมือไทย-ออสเตรีย แขนขวามีสัญษณ์โบว์ดำเพื่อรำลึกถึงจ่าเอกสมาน กุนัน หรือจ่าแซม ที่เสียชีวิตในปฏิบัติการดังกล่าว ส่วนด้านหลังเสื้อมีอักษรว่า “สู้ๆ ทีมหมูป่า” ด้วย นอกจากนี้ยังมอบหมวกตำรวจออสเตรเลียให้ 1 ใบ

โดยเอกอัคราชฑูตประเทศออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้แจ้งต่อนายณรงค์ศักดิ์ว่า ขอชื่นชมในการบริหารจัดการของประเทศไทยในปฏิบัติการดังกล่าวโดยเฉพาะการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างกันของหลายฝ่ายทั้งภายในประเทศไทยและจากนานาชาติ รวมทั้งเสนอให้มีการฝึกร่วมในการกู้ภัยระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ร่วมกัน โดยช่วงแรกอาจเป็นการฝึกซ้อมเกี่ยวกับการดำน้ำร่วมระหว่างไทย-ออสเตรเลีย โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ จากนั้นจึงขยายไปยังประเทศต่างๆ ต่อไป

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่าในความเป็นจริงแล้วเราควรจะขอบคุณทางประเทศออสเตรเลียมากกว่าที่ได้ส่งทีมงานมาช่วยเหลือ โดยเฉพาะนายแพทย์ริชาร์ดเพราะทบาทสำคัญมากในการช่วยชีวิตทั้ง 13 คน ส่วนทางเอกอัคราชฑูตประเทศออสเตรเลียประจำประเทศไทย ก็ยังชื่นชมในการบริหารจัดการปฏิบัติการภายใต้วิกฤติที่มีข้อจำกัดหลายเรื่อง และแจ้งล่วงหน้าว่าหากน้ำในถ้ำหลวงแห้งก็จะเดินทางมาเยี่ยมพื้นที่และขอพบปะกับทีมงานที่เคยปฏิบัติงานร่วมกัน รวมทั้งจะไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของเด็กๆ ทั้ง 13 คน

“หลังปฏิบัติการแล้วเสร็จระดับน้ำในถ้ำหลวงได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะฝนตกและน้ำซึมจากภายในทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมเกือบถึงโถงที่ 1 บริเวณหน้าถ้ำ จึงยังไม่เข้าไปเก็บอุปกรณ์ที่เหลืออยู่อยู่ภายในถ้ำออกมา เพราะกว่าเราจะช่วยเหลือทั้ง 13 คนออกมาได้ก็ยากลำบาก หากเสี่ยงนำกำลังเข้าไปเก็บอุปกรณ์แล้วเกิดความสูญเสีย ก็จะทำให้สิ่งที่เราพยายามทำกันมากล้มลงหมด และควรเข้าไปนำอุปกรณ์ที่ติดในถ้ำออกมาหลังน้ำลดแล้ว ซึ่งหากของหน่วยงานใดเสียหายก็จะได้พิจารณาช่วยเหลือกันต่อไป สำหรับอาการของเด็กๆ และโค้ชทั้ง 13 คนดีขึ้นมากแต่ก็ขึ้นอยู่กับแพทย์ว่าจะให้ออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนด 7-10 วันตามที่แจ้งหรือไม่ เพราะไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องกายภาพ แต่มีเรื่องจิตใจที่พวกเขาได้รับผลกระทบ จึงขอให้สื่อมวลชนให้ความเมตตาเรื่องจิตใจเมื่อพวกเขาต้องกลับไปอยู่บ้านด้วย”นายณรงค์ศักดิ์กล่าว