ชาวสวน “เมืองตรัง” ทำสวนผสมลดรายจ่าย-สร้างรายได้ แก้วิกฤตราคายาง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดตรังว่า ชาวสวนยางพาราเมืองตรังหันทำเกษตรแบบไร่นาผสมหัลงราคายางตกต่ำ สร้างรายได้ปีละ 5 แสนบาท ขณะที่บางรายตัดสินใจโค่นยางบางส่วนนำไม้ไปขาย ทิ้งไว้แต่ตอไม้ยางไว้ทำค้างปลูกเสาวรสแทน สามารถทำเงินได้นับพันบาทต่อวัน


นายยุทธพงศ์ คงรอด ผู้จัดการสวนปันสุข เลขที่ 129/1 ต.น้ำผุด อ.เมืองตรัง จ.ตรัง เปิดเผยว่า จากปัญหาราคายางพาราที่ตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งล่าสุดราคาน้ำยางสดมาอยู่ที่กิโลกรัมละ 32 บาท (ข้อมูลวันที่ 16 พ.ย.) ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางพาราได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย เพราะขณะนี้ขายยางพารา 3 กิโลกรัมจึงจะซื้อหมู 1 กิโลกรัมได้ ดังนั้นชาวสวนยางจึงพากันหันไปประกอบอาชีพเสริมเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า สำหรับตนเมื่อก่อนนั้นมีอาชีพทำสวนยางพาราเพียงอย่างเดียว หลังราคายางตกต่ำต่อเนื่องทำให้รายได้ไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้จ่ายในครัวเรือน ทำให้ตนต้องหาอาชีพอื่นเสริม แต่ตนคิดต่างจากคนอื่นๆ ตรงที่ว่าตนได้ใช้พื้นที่ของตนเองจำนวน 13 ไร่ แบ่งเป็นส่วนๆ ในการทำเกษตรผสมผสาน มีการใช้พื้นปลูกยางพารา เลี้ยงปลา ทำนา ทำสวนพริกไทย และพืชผักสวนครัว เรียกว่าปลูกทุกอย่างที่กินได้นอกจากจะนำผลผลิตมาใช้ในบริโภคครัวเรือนเพื่อลดรายจ่าย ส่วนที่เหลือก็นำออกจำหน่ายให้เพื่อนบ้านและตลาดในชุมชน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ทำให้มีรายได้จากการทำการเกษตรแบบผสมผสานปีละประมาณ 4-5 แสนบาท

“นอกจากนี้ยังผมยังใช้พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ทำเป็นศูนย์เรียนรู้โดยให้ครู นักเรียนและผู้ปกครอง นำนักเรียน บุตรหลาน มาเรียนรู้ชีวิตเกษตรกร โดยมีการสอนการปลูกต้นไม้ การทำไข่เค็ม การทำสบู่การวาดภาพ และที่น่าสนใจคือให้เด็กๆที่มาศึกษาดูงานได้ดำนาด้วย ทั้งนี้เด็กที่มานั้นต้องลงมือทำเองทุกสิ่งที่เรียนรู้ เพื่อให้เด็กๆเข้าใจในชีวิตเกษตรกร และเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่นักเรียนได้ลงมือทำและเห็นของจริง ซึ่งจะได้ประโยชน์มากกว่าการเรียนในห้องเรียน เพราะการที่เด็กๆเห็นและสัมผัสของจริงนั้นจะทำให้เด็กๆรู้สึกตื่นเต้นมาก อีกทั้งผู้ปกครองก็มีความพึงพอใจที่บุตรหลานได้เรียนรู้และลงมือทำด้วยตนเอง ผมคิดว่าทางรอดของเกษตรกร ณ เวลานี้คือการหันมาทำไร่นาแบบผสมผสาน เพราะจะช่วยลดรายจ่ายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี”


ด้าน นายเฉลิม ศรีสุข อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 256 หมู่ที่ 3 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง เปิดเผยว่า ตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบปัญหาจากราคายางพาราตกต่ำ ทำให้มีรายได้ลดลงเป็นอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจโค่นต้นยางพาราอายุ 15 ปี ในพื้นที่กว่า 2 ไร่ ซึ่งเป็นยางเปิดกรีดมาประมาณ 8 ปี ทั้งๆที่ยางพารามีอายุการกรีดน้ำยางกว่า 27 ปี โดยนำไม้ยางพาราส่วนหนึ่งไปขายเหลือไว้เฉพาะตอไม้ยางพาราความสูงประมาณ 1.5-2 เมตร เพื่อทำเป็นค้างไว้สำหรับปลูกต้นเสาวรส ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกตาเป็นอย่างมากเพราะยังไม่มีเกษตรกรคนไหนที่ใช้ตอไม้ยางพารามาทำเป็นค้างปลูกต้นเสาวรส

และเมื่อหันมาใช้พื้นที่ว่างปลูกต้นเสาวรสมาประมาณปีกว่าๆ โดยได้ซื้อหาพันธุ์มาเอง ทางรัฐบาลไม่ได้มาหนุนเสริมแต่อย่างใด การปลูกต้นเสาวรสก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ผลผลิตที่มีอยู่ตอนนี้ก็มีไม่พอขาย จึงตัดสินใจโค่นต้นยางเพื่อมาปลูกต้นเสาวรสแทน ซึ่งตนได้คิดทำแบบนี้คนแรก เพราะหากซื้อเสาปูน ตกเสาร้อยกว่าบาท ซึ่งต้องใช้หลายเสาและต้องลงทุนเยอะ จึงยอมโค่นต้นยางพาราทิ้ง

“ตอนนี้ปลูกเสาวรสจะดีกว่ากรีดยางพาราแน่นอน เพราะสามารถเก็บเสาวรสขายได้ตลอดแม้จะเข้าช่วงหน้าฝนก็ตาม ต่างกับการกรีดยางที่พอฝนตกก็ไม่สามารถกรีดยางได้ อย่างน้อยขายเสาวรสมีรายได้ต่อวันละ 500-1,000 บาท ส่วนกรีดยางพาราในแต่ละวันมีรายได้แค่ 100 บาทเท่านั้น โดยผมเองจะขายเสาวรสอยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 40 บาท เสาวรสที่ผมปลูกเป็นพันธุ์สีม่วง ประมาณ 200 ต้น นอกจากนี้จะปลูกเสาวรสแล้ว ยังมีมะม่วงหาวมะนาวโห่ พร้อมเตรียมวางแผนปลูกทุเรียนไว้อีกด้วย สามารถทำรายได้มาจุนเจือครอบครัวเป็นอย่างดี”