“สุปรียา กุลทวีทรัพย์” หนุนเครื่องหนัง ปั้นแบรนด์ “Labrador” โกอินเตอร์

เครื่องหนัง

สัมภาษณ์

ในยุคการแข่งเดือดของตลาดแฟชั่น สินค้าหลายแบรนด์ต่างหากลยุทธ์ดึงจุดเด่นของตนออกมาสู้คู่แข่งให้เป็นที่สนใจของผู้บริโภค แต่หลายแบรนด์สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่นเดียวกับ “สุปรียา กุลทวีทรัพย์” เจ้าของแบรนด์ labrador สินค้าประเภทเครื่องหนังจาก จ.นนทบุรี ได้ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า

เรามีสไตล์เป็นของตัวเอง ใช้ความคิดสร้างสรรค์หัวใจขององค์กรมาเป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยมีสินค้าที่ได้รับความนิยม เช่น กระเป๋าสตางค์ จะมีลักษณะแบนเรียบ พกติดตัวง่าย ด้วยการใช้แผ่นหนังเพียงแผ่นเดียวเพื่อลดการตัดเย็บ

“เราทำงานในสไตล์ของเรา หัวใจหลักคือไม่เลียนแบบใคร แม้โอกาสทางความคิดของแต่ละคนจะออกแบบใกล้เคียงกันบ้าง แต่รายละเอียดจะบอกได้ว่าเราคิดอย่างไร วัสดุในการสร้างผลิตภัณฑ์เป็นกึ่งสากล แต่เครื่องหนังมาจากท้องถิ่นภายในประเทศไทยและฟอก โดยโรงฟอกหนังในประเทศไทย

ทางบริษัทจะมีส่วนร่วมในการออกแบบทั้งขนาดและน้ำหนัก เพื่อให้ได้หนังที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีรูปแบบเฉพาะไม่เหมือนใคร ภายใต้แบรนด์ labrador เมดอินไทยแลนด์ และจากที่เริ่มขายตลาดภายในประเทศ ตอนนี้เราขายไปทั่วโลก ต่างชาติค่อนข้างนิยม เนื่องจากสินค้ามีคุณภาพ เชื่อถือได้”

“สุปรียา” เล่าให้ฟังว่า แผนการตลาดของ labrador มีเป้าหมายหลัก คือตลาดในประเทศ แต่การส่งออกเป็นผลพลอยได้ เพราะผลงานเป็นที่ยอมรับของคนต่างชาติ ปัจจุบันสัดส่วนการตลาดในประเทศอยู่ที่ 70% ต่างประเทศ 30%

โดยประเทศที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ยุโรป อันดับ 2 เอเชีย ซึ่งในประเทศเปิดขายอยู่ 5 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี, เทอร์มินอล ทเวนตี้วัน, สยามสแควร์วัน, สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม และอีก 2 สาขาในต่างประเทศ คือ ปารีสและฟิลิปปินส์

นอกเหนือจากนี้ยังมีการฝากขายในห้างสรรพสินค้าหรือผ่านตัวแทนจำหน่ายตามหัวเมืองหลักในประเทศ เช่น ขอนแก่น นครศรีธรรมราช รวมไปถึงการขายออนไลน์ ขณะที่กรุงเทพฯจะมีสัดส่วนการขายมากกว่าภูมิภาคอื่น เพราะโรงงานอยู่ใกล้ในจังหวัดนนทบุรี ส่วนในต่างประเทศจะมีอังกฤษ อิตาลี ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ลูกค้าจะรู้จักแบรนด์ผ่านการจัดงานแสดงสินค้า เช่น ในฝรั่งเศส มีการออกงานปีละ 2 ครั้ง เป็นต้น

สำหรับแบรนด์ labrador ได้รับรางวัลผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกดีเด่นหรือ Prime Minister”s Export Award ถึง 3 รางวัลด้วยกัน ได้แก่สินค้านวัตกรรมที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม สินค้าที่มีการออกแบบยอดเยี่ยม และล่าสุดปี 2017 ได้รับรางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม ซึ่งจัดอยู่ใน “ตลาดนิช” ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นอาชีพดีไซเนอร์ สถาปนิกสไตล์ กลุ่มมินิมอล ราคาสินค้าเริ่มต้นที่ 99 บาทถึงหลักหมื่นบาท เฉลี่ยรายได้ต่อปีของบริษัทอยู่ที่หลัก 10 ล้านบาท แต่ยังไม่ถึง 100 ล้านบาท

“เราทำสินค้าออกมาแบบครบวงจรทั้งหมดภายในบริษัท แบ่งเป็นพาร์ตโรงงาน ออฟฟิศสำหรับการดีไซน์ จนถึงการผลิต การขาย และเซอร์วิสหลังการขาย รับซ่อมตลอดอายุการใช้งาน บางอย่างซ่อมฟรี เช่นด้ายหลุด

หากเป็นอะไหล่ถ้าลูกค้าอยากเปลี่ยนจะมีการเก็บค่าแรงนิดหน่อย ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่ซื้อไป เพื่อให้ลูกค้าใช้สินค้าได้นานที่สุด ไม่ใช่การใช้แล้วทิ้ง และทุกขั้นตอนต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในการฟอกหนังต้องเกิดน้ำเสียให้น้อยที่สุด”