“เทรดเดอร์โอท็อป” ผุดเอาต์เลต 15 ตึก ทำโชว์รูมเชื่อมอีคอมเมิร์ซตั้งเป้ายอดขายโต800ล.

เปิดเอาต์เลต - บริษัท โอท็อป อินเตอร์เทรดเดอร์ ประเทศไทย จำกัด อยู่ระหว่างก่อสร้าง"เอาต์เลต ประเทศไทย" บริเวณกิโลเมตรที่ 44 ติดถนนสายเอเชีย จ.พระนครศรีอยุธยาเนื้อที่ 6,000 ตร.ม. เพื่อรวบรวมสินค้าจากชุมชนทั่วประเทศมาแสดงและจัดจำหน่าย

“โอท็อปเทรดเดอร์ประเทศไทย” จุดประกายโอท็อปทั่วประเทศ พลิกโฉมตลาดไทย-เทศ เปิด “โอท็อป เอาต์เลต ประเทศไทย พร้อมตั้งศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์กลาง” ชูโชว์รูมสินค้าเชื่อมตลาดอีคอมเมิร์ซ ตั้งเป้าปี 2562 รายได้ทะลุ 800 ล้าน พร้อมเดินเครื่องปี 2563 ร่วมงานเวิลด์เอ็กซ์โปที่ดูไบ

ดิสเพลย์โอท็อปเอาต์เลต

นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ ประธาน บริษัท โอท็อป อินเตอร์เทรดเดอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันมีเทรดเดอร์โอท็อปทุกจังหวัดทั่วประเทศ แต่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 68 จังหวัด คาดว่าภายในสิ้นปี 2562 จะจดทะเบียนครบ 77 จังหวัด โดยปี 2562 มีแผนงานหลัก คือ การเปิดโอท็อป เอาต์เลต ประเทศไทย (OTOP OUTLET THAILAND) เพื่อรวบรวมสินค้าจากชุมชนทั่วประเทศมาแสดงและจัดจำหน่าย ถือเป็นกลไกช่วยผู้ประกอบการโอท็อปรายย่อย โดยใช้กลยุทธ์ตั้งรับในเชิงรุก คือ การเตรียมจัดดิสเพลย์ให้พร้อมและเชื่อมกับตลาดสากล เนื่องจากปัจจุบันเวลาชาวต่างประเทศเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ซึ่งจัดเพียงปีละ 3-4 ครั้ง แต่ประเทศไทยไม่มีสถานที่สามารถเลือกซื้อสินค้าโอท็อปได้ 365 วัน รวมถึงจะเชื่อมโยงตลาดอีคอมเมิร์ซสากล เช่น อาลีบาบา ลาซาด้า เจดีดอทคอม ไปรษณีย์ไทย

ขณะนี้ โครงการโอท็อป เอาต์เลต ประเทศไทย อยู่ระหว่างการก่อสร้าง บริเวณกิโลเมตรที่ 44 ติดถนนสายเอเชีย หน้าโครงการพุทธอุทยานมหาราช (หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่) ต.บ้านใหม่ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา โดยได้งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย 100 ล้านบาท มาดำเนินการ ประกอบด้วย 15 อาคาร เนื้อที่ 6,000 ตารางเมตร มีการแยกเป็นโชว์รูมสินค้าโอท็อปแต่ละประเภท เช่น เสื้อผ้า อาหาร ศิลปะ สินค้าเกษตรแปรรูป งานฝีมือ งานไม้ ข้าว เป็นต้น โดยจะมีการคัดเลือกสินค้าชุมชนจากผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและใหม่ทั่วประเทศอย่างเปิดกว้าง ทั้งนี้ ตามแผนงานคาดว่าจะส่งมอบงานได้ภายในสิ้นเดือนมกราคม 2562 และเตรียมเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2562

ชูศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์กลาง

นอกจากนี้ ปี 2562 โอท็อปเทรดเดอร์จะเป็นผู้แทนจำหน่ายเชื่อมเข้าสู่ร้านของฝาก ร้านค้าชุมชน ปั๊มน้ำมัน และโชห่วย รวมถึงมีศูนย์ประชุมอบรมสัมมนาให้กับภาคเอกชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มวิสาหกิจ และภาครัฐ รวมถึงการทำหน้าที่เป็นศูนย์พัฒนาบรรจุภัณฑ์กลาง ด้วยหลักการตลาดนำการผลิต มีเครื่องจักรและบุคลากรที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในการช่วยออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับช่องทางการตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าของสินค้า พร้อมเชื่อมตลาดในประเทศ ต่างประเทศ และตลาดโมเดิร์นเทรด

ด้านการตลาดยังคงเข้าร่วมงานอีเวนต์ต่าง ๆ ทั้งอีเวนต์ประจำปีของกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ที่จัดขึ้นปีละ 3-4 ครั้ง และมีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 4-5 แสนคน สร้างรายได้ต่อปีกว่า 900-1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาหาร เช่น สตรีตฟู้ด อาหารชวนชิม อาหารปรุงสด และผ้าไทย และตลาดอีเวนต์ที่ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ตลาดร่มโพธิ์ ที่ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ ตลาดมหาดไทยในงานกาชาด ตลาดกรุงสยามในงานสมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี และงานท่องราตรีกรุงศรีอยุธยา ขณะที่ตลาดถาวรมี 3 แห่ง ได้แก่ ตลาดประชารัฐอยุธยาไนท์มาร์เก็ต ตลาดประชารัฐหลวงปู่ทวด จ.พระนครศรีอยุธยา ตลาดหัวปลี จ.สระบุรี

รุกตลาดไอคอนสยาม 400 ล้าน

นายวัชรพงศ์กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้มีตลาดถาวรใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง คือ เมืองสุขสยามในศูนย์การค้าไอคอนสยาม ที่โอท็อปเทรดเดอร์ ประเทศไทย ได้รับมอบหมายจากกระทรวงมหาดไทยให้นำผู้ประกอบการโอท็อปเข้าไปจำหน่ายสินค้าจากทั่วประเทศ โดยหมุนเวียนรอบละ 10-15 วัน โดยให้ประธานเทรดเดอร์ภาคคัดเลือกสินค้าเด่น มีคุณภาพ และผู้ประกอบที่มีศักยภาพสามารถเดินทางเข้ามาได้ ช่วยสร้างโอกาสให้กับคนที่เข้มแข็ง ส่วนผู้ประกอบที่ยังไม่เข้มแข็งจะเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพสู่ช่องทางการตลาดต่าง ๆ ต่อไป ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มเปิดตลาดไอคอนสยามเดือนพฤศจิกายน 2561-มกราคม 2562 มียอดจำหน่ายกว่า 70 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 2562 จะมีรายได้จากตลาดนี้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท ส่งผลให้คาดการณ์ภาพรวมยอดจำหน่ายสินค้าโอท็อปผ่านเทรดเดอร์ทั่วประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้น 100% เป็น 800 ล้านบาท

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ มียอดจำหน่ายเพียง 10 ล้านบาท เนื่องจากกระแสเปลี่ยน ต่างประเทศเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าโอท็อปกลับไปประเทศเอง โดยเฉพาะลูกค้าจีนและอาเซียน เช่น กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ที่ต้องการบริหารจัดการราคาสินค้าและต้นทุนให้ต่ำลง ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นพวกอาหารราคา 3 ถุง 100 บาท แต่ปีนี้หลังเปิดเอาต์เลตและเชื่อมอีคอมเมิร์ซ คาดว่าตลาดต่างประเทศจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 30 ล้านบาท

ขนทัพบุกเวิลด์เอ็กซ์โปดูไบ

นอกจากนี้ ปี 2563 บริษัท โอท็อป อินเตอร์เทรดเดอร์ฯ ได้ตอบรับกระทรวงการต่างประเทศและและกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการประชุมในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยจะนำผลิตภัณฑ์โอท็อปไปจำหน่ายเป็นระยะเวลา 6 เดือน นับเป็นงานใหญ่ระดับโลกและเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ โดยจะต้องประชุมกันอีกครั้งเพื่อวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาด และนำกิมมิกคิวอาร์โค้ดของโอท็อปเอาต์เลตไปใช้ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทั่วโลกรู้ว่าไทยมีสินค้าโอท็อป เนื่องจากไม่สามารถนำสินค้าทุกชนิดไปได้

“นับเป็นตลาดใหม่ที่จะทำในเชิงรุก โดยเครือข่ายโอท็อปเทรดเดอร์ต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเชื่อมระบบตลาดในทุกช่องทาง ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมทั้งบุคคล โชว์รูมสินค้า สำนักงานใหญ่ ดังนั้น สิ่งเดียวที่ต้องทำ คือ การสร้างความรับรู้ทั้งในและต่างประเทศ อย่างตลาดไอคอนสยามนับเป็นผลงานที่เป็นภาพชัดของโอท็อปเทรดเดอร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต ประกอบปี 2562 กำลังหนุนของภาครัฐยังเป็นแรงที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้เดินต่อไปได้ เช่น โครงการโอท็อปนวัตวิถี ที่นำเอาเรื่องการท่องเที่ยวมากระตุ้นการซื้อสินค้าโอท็อป รวมถึงการหักลดหย่อนภาษี เป็นต้น” นายวัชรพงศ์กล่าว

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!