เมื่อวันที่ 31 ม.ค. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัยพากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ทช.จะดำเนินการภายใต้งบประมาณ 2562 จำนวน 1,412 ล้านบาทในการฟื้นฟูชายฝั่งทะเลทั้ง 23 จังหวัดทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. การฟื้นฟูทรัพยากรในด้านต่างๆ ได้แก่ แนวปะการัง ป่าชายเลน และการกัดเซาะชายฝั่ง 2. การออกมาตรการป้องกันและดูแลทรัพยากรทางทะเล
ซึ่งมีทั้งการออกระเบียบและมาตรการควบคุมไปจนถึงการมอบอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนจังหวัด เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้เกิดการทำงานไร้รอยต่อ
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ในส่วนการฟื้นฟูนั้น ทช. ตั้งเป้าว่าในปี 2562 จะดำเนินการปลูกแนวปะการังใน 10 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ตราด ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสงขลา บนพื้นที่ 150 ไร่ เป็นปะการังจำนวน 240,000 กิ่ง รวมไปถึงการฟื้นฟูหญ้าทะเลในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ชุมพร สงขลา และพังงา พื้นที่ 60 ไร่ เป็นหญ้าทะเลจำนวน 96,000 กอ
นอกจากนี้ในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ส่วนท้องถิ่นและโยธาธิการจังหวัด ต้องทำในรูปแบบโครงสร้างที่ทช. กำหนดเท่านั้น และต้องเร่งให้เสร็จเรียบร้อยใน 1-2 ปีนี้ ส่วนการฟื้นฟูป่าชายเลนจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น โครงการไม้โกงกางเทียม หรือนวัตกรรมซีออส โครงการบูมหรือแขนดักขยะเพื่อให้ขยะที่ไหลมาตามแม่น้ำไม่สามารถเล็ดลอดออกไปสู่ทะเลได้มาก
อธิบดีทช. กล่าวว่า ในส่วนของกฎหมายมาตรการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งอยู่นอกเหนืออาณาเขตการดูแลของกรมอุทยานฯ ล่าสุดได้เสนอร่างมาตรการคุ้มครองเกาะสีชัง จ.ชลบุรี ไปเมื่อปลายปี 2561 เพิ่มจากพื้นที่คุ้มครอง 3 เกาะ ได้แก่ เกาะเต่า เกาะพะงัน และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
โดยมาตรการดังกล่าวเป็นการร่วมมือระหว่าง ทช.กับกองทัพเรือที่เป็นฝ่ายความมั่นคง ว่าด้วยการห้ามกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากตรวจพบจะถูกจับกุมและปรับในอัตราไม่เกิน 100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี
“พร้อมมาตรการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยวเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติไปพร้อมๆ กับการดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว ได้แก่ การควบคุมเรือนำเที่ยว และไกด์นำเที่ยว ในด้านรายละเอียดทางใบอนุญาต และการควบคุมประกบนักท่องเที่ยวระหว่างกิจกรรมดำน้ำชมปะการังของไกด์นำเที่ยวอย่างเป็นระบบมาตรการเดียวกับสากลที่ทำกันทั่วโลก
เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อธรรมชาติน้อยที่สุด ซึ่งได้ผ่านคณะกรรมการชาติแล้ว คาดว่าจะมีผลภายใน 1-2 เดือน รวมไปถึงแนวทางการจำกัดนักท่องเที่ยวในการขึ้นเกาะที่อยู่นอกเขตอุทยานฯที่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาในการวางระเบียบร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนจังหวัดในการควบคุม” อธิบดีทช. กล่าวย้ำ
ที่มา ข่าวสดออนไลน์