อาหารทะเลแปรรูป ต้นทุนพุ่ง30% “พรทิพย์ภูเก็ต” เฟ้นของดีขายนอก

ร้านของฝากชื่อดัง “พรทิพย์ภูเก็ต” เผยต้นทุนอาหารทะเลเพิ่ม 30% วัตถุดิบไม่พอแปรรูป หันพึ่งนำเข้าปลาข้าวสารจากอินโดนีเซีย พร้อมฉีกตัวหนีคู่แข่งคัดโปรดักต์คุณภาพเจาะตลาดเอเชีย ปีนี้ตั้งเป้าโกยรายได้ 100 ล้านบาท

นายวิรวัฒน์ เปี่ยมวิวัตติกุล ผู้บริหารร้านจำหน่ายของฝากพรทิพย์ภูเก็ต ภายใต้ บริษัท พรทิพย์ภูเก็ต จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูป ปลาข้าวสาร ปลาฉิ้งฉ้าง น้ำพริกกุ้งเสียบมากว่า 20 ปี ซึ่งตลาดตอบรับค่อนข้างดี โดยเฉพาะปลาข้าวสาร และน้ำพริกกุ้งเสียบ อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตก็เพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายค่าแรง 300 บาท และกฎหมายประมงฉบับใหม่ที่ทำให้การออกไปจับสัตว์ทะเลมีข้อจำกัด และสภาพดินฟ้าอากาศ ส่งผลให้วัตถุดิบไม่เพียงพอ

“สำคัญที่สุดในทะเลบ้านเรา ในอ่าวไทยมีปัญหากุ้ง ปลาปนเปื้อนสารหนูสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ จึงไม่สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ ส่วนวัตถุดิบบางชนิดก็ต้องนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม เช่น ปลาข้าวสาร โดยมีต้นทุนสูงขึ้นถึง 30% แต่ทางร้านก็ไม่ได้ปรับราคาสินค้าขึ้น ยังขายราคาเดิม แต่กำไรน้อยลงเพื่อความปลอดภัยผู้บริโภคและมาตรฐานการส่งออก รวมทั้งค่ามาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์”

นายวิรวัฒน์กล่าวว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศยังได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศกัมพูชา เวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลแปรรูปหลากหลายผลิตภัณฑ์ โดยมีการนำวัตถุดิบจากอ่าวไทยไปแปรรูปที่ต่างประเทศและนำกลับเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย

สำหรับภาวะการแข่งขันในตลาดท้องถิ่นนั้น ร้านพรทิพย์เป็นร้านของฝาก 1 ใน 5 ของร้านจำหน่ายของฝากเก่าแก่ในจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันมีคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น เนื่องจากเจ้าของบริษัททัวร์ได้ลงทุนเปิดร้านของฝากเป็นของตัวเองเพื่อรองรับลูกทัวร์โดยตรง

อย่างไรก็ตาม ร้านพรทิพย์ฯก็ได้พยายามเน้นวัตถุดิบที่ดี และมีกระบวนการผลิต/แปรรูปที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงทำให้สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ เช่น เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยในปี 2559 มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 50 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2560 ไว้ที่ 100 ล้านบาท

ขณะที่ตลาดในประเทศนอกจากจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวแล้ว ปัจจุบันมีการจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ หลายแห่ง เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดและขยายฐานกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้น จากเดิมลูกค้าหลักคือนักท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจภาพรวม รวมทั้งผลกระทบมาจากนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้ชุมชน/ท้องถิ่น งดการออกไปดูงานในต่างจังหวัด ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้น้อยลง