“ตรัง”ตรวจสต๊อกน้ำมันปาล์ม รับนโยบาย กปน.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จ.ตรัง ลงพื้นที่ตรวจสต๊อกปาล์มน้ำมัน ใน 6 โรงงาน เด้งรับนโยบาย กปน.ที่ต้องการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 200,000 ตัน เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า เชื่อจะสามารถยกระดับราคาปาล์มน้ำมันให้สูงขึ้นได้ และหนุนการผลิตน้ำมัน B100 ในรถยนต์หนุนเกษตรกรอีกแรง

นายลือชัย เจริญทรัพย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า เนื่องด้วยคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 200,000 ตัน เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง โดยมอบกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนด้านการตรวจสต็อกน้ำมันปาล์มดิบของผู้เสนอขายน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ.

นอกจากนี้ ยังให้ทางจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเฉพาะกิจระดับจังหวัด องค์ประกอบคณะประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน พลังงานจังหวัด เกษตรจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด และฝ่ายความมั่นคง และพาณิชย์จังหวัดเป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อดำเนินการตรวจปริมาณของน้ำมันปาล์ม บวกกับเรื่องค่ามาตรฐาน เรื่องของคุณภาพความเป็นกรดเป็นด่างที่ไม่เกินร้อยละ 5

“ล่าสุดทางคณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่ลงพื้นที่ตรวจตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเฉพาะกิจ ณ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม จำนวน 6 โรงงาน ในเรื่องของสต็อกน้ำมันปาล์มที่มีอยู่ว่าขณะนี้มีปริมาณเท่าไหร่ และนำน้ำมันที่ได้รับไปตรวจคุณภาพตามมติ กนป.หรือไม่ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร และเป็นความโชคดีของจังหวัดตรังเราที่เป็นหนึ่งในไม่กี่โรงที่น้ำมันของเรามีคุณภาพ ซึ่งเราเองก็อยู่ในลำดับต้นๆ ของประเทศ ถือว่าเรามีส่วนสำคัญที่จะปฏิบัติตามมติ กนป. ให้มีการยกระดับราคาขึ้นมาด้วย โดยเฉพาะผลผลิตน้ำมันปาล์มของเกษตรกร”

นายลือชัย กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากการที่ได้มาดูเราไม่ได้มาดูเฉพาะตรงนี้อย่างเดียว เราจะดูถึงวงจรปาล์มของเรา ซึ่งทางที่นี่เองก็สามารถใช้วัสดุอุปกรณ์ หรือใช้ทั้งหมดของปาล์มทุกภาคส่วน และที่สำคัญมูลค่าที่เกิดขึ้นจากตัวน้ำมันแล้ววัสดุที่เหลือใช้เข้าสู่โรงไฟฟ้าด้วย โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชีวมูล ซึ่งที่นี่อยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เราอยากจะชี้ให้เห็นนอกเหนือจากการปฏิบัติตามมติของ กนป.ที่แบ่งภาคส่วนไปแล้ว ถือว่าเราได้มาดูในเรื่องของปาล์ม ซึ่งเราเป็น 1 ใน 5-6 จังหวัดที่มีปริมาณการปลูกปาล์มค่อนข้างเยอะ

“ตรงนี้ผมเชื่อว่าถ้าทุกฝ่ายทั้งผู้ผลิตต้นทาง เกษตรกรเข้าใจและก็ฝ่ายผู้ประกอบการได้ใช้แนวทางต่างๆ เข้ามาช่วย ผมเชื่อว่าระดับราคาจะเพิ่มขึ้น และวัสดุเหลือใช้จากปาล์มก็มีคุณค่าทั้งหมด ซึ่งทางบริษัทฯ ที่นี่เองก็ทำอยู่ และที่สำคัญทางบริษัทฯ ได้ทำ CSR กับชุมชนด้วยโดยเฉพาะการใช้วัสดุเหลือใช้ไปส่งเสริมพี่น้องเกษตรกร เช่น การเพาะเห็ด การทำปุ๋ยหมัก เป็นต้น ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากปาล์ม และต้องขอขอบคุณทางบริษัทฯ ที่ได้เห็นคุณค่า คืออยากให้คิดทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทางทั้งหมดเลย”


ด้านนางรวิพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ พาณิชย์จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า นอกเหนือจากการตรวจตามที่ กนป.แล้ว ประเด็นที่เป็นข้อจำกัด เป็นอุปสรรค เช่น ข้อจำกัดในเรื่องของการมีค่าใช้จ่ายในเรื่องการตรวจคุณภาพ ต้องเสนอไปที่ กนป.ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่บริษัทฯ รับภาระ อีกส่วนหนึ่งที่จังหวัดได้มีการประชุมกับนายกสมาคมชาวสวนปาล์มไปแล้วในเรื่องของการที่จะผลักดัน เรื่องของ B100 โรงงานในจังหวัดตรัง เป็นโรงงานที่อยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศ ในเรื่องของมาตรฐานคุณภาพ หากเสนอไปที่รัฐบาลให้มาช่วยในเรื่องคอร์สการตรวจคุณภาพก็จะเป็นประโยชน์ และที่สำคัญจะผลักดันในเรื่องของการขับเคลื่อนทางกฎหมาย เพราะว่าถ้าเราปลดล็อคในเรื่องการจำหน่ายได้ ตนเองคิดว่าราคาปาล์มจะขึ้นแน่นอน อันนี้ก็คิดว่าเป็นส่วนที่จะต้องผลักดันไป

หลังจากที่มาตรวจโรงงานก็จะมีการรายงานไปตามสายงาน เพราะว่ากระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก จริง ๆ แล้ว เรื่องน้ำมันเป็นเรื่องของกระทรวงพลังงาน ซึ่งก็เป็นคณะทำงานอยู่ด้วย ในส่วนนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน เป็นฝ่ายเลขาของส่วนกลาง ในเรื่องการดูเรื่องราคาก็สามารถที่นำจุดนี้เข้าไป ซึ่งตรวจจริง 6 โรงงาน ผู้ประกอบการทุกโรงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะเป็นคนในพื้นที่ และแรงงานก็เป็นคนในพื้นที่ทั้งหมด

“ฉันถือว่าทุกอย่างตอบโจทย์ได้หมด เพียงแต่ว่าส่วนไหนที่จะผลักดันในเชิงนโยบาย เช่นในเรื่องของการผลักดันเรื่อง B100 ต้องผลักดันในเชิงนโยบายแน่นอน ซึ่งคิดว่าวันนี้ได้ใช้ B100 ในส่วนกลุ่มต่างๆ แต่อยากให้ปลดล็อคคือจำหน่าย แต่จำหน่ายเราต้องผลักดันเรื่องมาตรฐาน เรื่องคุณภาพ เพราะว่าถ้ามีความเป็นกรดเป็นด่างตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากเราไม่ได้มาตรฐานก็จำหน่ายไม่ได้ทั่วไป อยากให้จำหน่ายได้ทั่วไปแต่ว่ารัฐบาลเองต้องมาช่วยตรงนี้ด้วย” นางรวิพรรณ กล่าว