เปิดใจ ‘เจ้าของฮิโนกิแลนด์’ ลั่นไม่เคยวิ่งเต้นให้เป็นแหล่งวัฒนธรรม เผย 4 เดือนเก็บค่าผ่านประตูได้ 23 ล้าน

ประธาน “ฮิโนกิแลนด์” ขอบคุณ ก.วัฒนธรรม ยกเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่ต้องไป ลั่นไม่รู้เรื่อง ไม่เคยวิ่งเต้น-เสนอผลประโยชน์ใด ๆ ขอพูดคำเดียว “ขอโทษ” ผู้คัดค้าน-ไม่เห็นด้วย บอกไม่คิดหวังได้รางวัล ชี้กลุ่มแม่บ้าน 1,200 คน มีรายได้เกิน ไม่ต้องรับบัตรคนจน ลั่นไม่มีผลกระทบธุรกิจ เล็งขยายลง ทุนสร้างพระชินโตองค์ใหญ่ ออนเซ็นเพื่อสุขภาพ ที่พัก เพิ่มเป็น 2,000 ล้าน

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม นายอนิรุทธิ์ จึงสุดประเสริฐ หรือเฮียตี๋ ประธานบริหารบริษัทบ้านไม้หอมฮิโนกิไชยปราการ จำกัด เจ้าของโครงการ “ฮิโนกิแลนด์” บ้านร้องธาร หมู่ 6 ต.ศรีดงเย็น อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ เผยกกรณีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประกาศให้ “ฮิโนกิแลนด์” เป็น 1 ใน 10 แหล่งวัฒนธรรมที่ต้องไป ว่า ส่วนตัวรู้สึกดีใจ และขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรม ที่ยกย่องให้ฮิโนกิแลนด์ เป็นวัฒนธรรมร่วมสมัย เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยผ่านแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าว ถือเป็นความภูมิใจของวงศ์ตระกูลที่ได้รับเกียรติดังกล่าว

ขณะเดียวกันก็เคารพเสียงสะท้อน และความเห็นต่างของผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือคัดค้านประกาศดังกล่าว เปรียบเสมือนได้รับดอกไม้จากความชื่มชม และตามด้วยระเบิดตูมลงมากลางบ้าน ซึ่งเรืองดังกล่าว กระทรวงวัฒนธรรม ไม่เคยติดต่อ หรือสอบถามความคิดเห็นกรณีประกาศดังกล่าว

“ต้องพูดความจริงว่า ผมไม่รู้เรื่อง และไม่มีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ ยืนยันไม่เคยวิ่งเต้นหรือเสนอผลประโยชน์ใดๆ ให้กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อให้ประกาศให้ฮิโนกิแลนด์เป็นแหล่งวัฒนธรรม”

“ฮิโนกิแลนด์ สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่น ต่อยอดธุรกิจสร้างงานและรายได้กลุ่มแม่บ้าน อ.ไชยปราการ 1,200 คน โดยทำหมอนเพื่อสุขภาพ เป็นงานหัตถกรรมฝีมือ ไม่ใช่เครื่องจักร มีงานทำตลอดปี ซึ่งบางรายทำงานตั้งแต่เปิดบ้านไม้หอมฮิโนกิ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน และอยู่กันแบบครอบครัว ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ต้องให้คนในครอบครัวอยู่ดีกินดีและพัฒนาคุณภาพชีวิตดีขึ้น ถือเป็นความภาคภูมิใจ มีความสุขที่ได้ทำเพื่อชุมชน มากกว่าได้รับรางวัลหรือประกาศเกียรติบัตรใด ๆ” นายอนิรุทธิ์กล่าว

นายอนิรุทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวอยากมีคำพูด เพียงคำเดียวว่า “ขอโทษ” หากมีผู้ที่คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับประกาศดังกล่าว แม้ไม่ได้รับรู้ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้น เป็นเรื่องกระทรวงวัฒนธรรม แต่เชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า คณะกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิที่คัดเลือกให้ฮิโนกิแลนด์ เป็น 1 ใน10 แหล่งวัฒนธรรมที่ต้องไป คิด มองลึก เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ที่มียาวนานนับ 100 ปีแล้ว

“หากกระทรวงวัฒนธรรม ต้องการถอนฮิโนกิแลนด์ ออกจาก 1 ใน 10 แหล่งวัฒนธรรมที่ต้องไป ยินดีและไม่ขัดข้อง เพื่อความสบายใจทุกฝ่าย เพราะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของโครงการดังกล่าว ซึ่งเป้าหมายที่แท้จริง คือ กลุ่มแม่บ้านและชุมชน มีงานทำ มีรายได้ตลอดปี ซึ่งผู้ที่ทำงานกับฮิโนกิแลนด์ 1,200 คน มีรายได้เกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ขึ้นอยู่กับความขยัน จึงไม่มีใครได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจนเลย ซึ่งทุกคนพอใจ แม้ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3 % แต่ทุกคน
ก็ยินดีเสียภาษี เพื่อนำไปพัฒนาประเทศ และท้องถิ่น” นายอนิรุทธิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวมีผลกระทบต่อธุรกิจ หรือโครงการดังกล่าวหรือไม่ นายอนิรุทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบใดๆ ผู้ที่คัดค้านหรือไม่เห็นด้วย เขาคัดค้านกระทรวงวัฒนธรรม ไม่ใช่ตัวผมเอง ดังนั้นโครงการดังกล่าวยังเดินหน้าต่อ เพราะมีแผนสร้างพระชินโตองค์ใหญ่ ออนเซ็นเพื่อสุขภาพ และที่พักนักท่องเที่ยว หลังลงทุนไปแล้ว 1,200 ล้าน อาจขยายลงทุนเพิ่มเป็น 2,000 ล้านตามลำดับ

ส่วนผลประกอบการ หลังเปิดบริการมา 11 เดือน เมื่อปี 2561 ช่วง 7 เดือนแรก เปิดให้ชมฟรี ไม่เก็บค่าบัตรผ่านประตูอย่างใด ส่วน 4 เดือน ที่ผ่านมา เก็บค่าผ่านประตูได้ 23 ล้านบาท ถือว่าประสบผลสำเร็จพอสมควร มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ซึ่งโครงการเสียภาษีเต็ม ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนแผ่นดิน

 

 


ที่มา : มติชนออนไลน์