สแกนเนียชูธงรถรุ่นใหม่บุกตลาด R3A

รุ่นใหม่ - บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดตัวรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ (Scania Roadshow) เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเดิมและเปิดทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่

สแกนเนียดันรถบรรทุกรุ่นใหม่บุกเส้นทาง R3A รองรับธุรกิจขนส่งสินค้าที่เติบโตแบบก้าวกระโดด เผยผู้ประกอบการกลุ่มผลไม้จากภาคตะวันออกส่งสินค้าไปจีนตอนใต้ตลาดขยายตัวมากกว่า 50% ตั้งเป้ายอดขายภาคเหนือปี”62 ยอดขายทะลุ 120 คัน มูลค่า 432 ล้านบาท

นายภูริวัทน์ รักอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภูมิภาค บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายรถบรรทุกหัวลากของสแกนเนีย ในปี 2561 มียอดขายรวมทั้งประเทศ 506 คัน มูลค่ากว่า 1,821 ล้านบาท (เฉลี่ยราคารถคันละประมาณ 3.6 ล้านบาท) โดยมีสัดส่วนยอดขายในตลาดภาคเหนืออยู่ที่ราว 80-100 คัน และในปีนี้ (2562) ได้ตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งประเทศไว้ที่ 700 คัน คาดว่ายอดขายในส่วนของตลาดภาคเหนือจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น 120 คัน มีมูลค่าตลาด 432 ล้านบาท

ภูริวัทน์ รักอินทร์

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประกอบการด้านการขนส่งสินค้าผ่านภาคเหนือไปตลาดจีนตอนใต้ที่เป็นลูกค้าของสแกนเนีย อาทิ ธุรกิจขนส่งก๊าซ LPG ธุรกิจขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ธุรกิจขนส่งไก่-เนื้อ และผลไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งผลไม้จากภาคตะวันออก (จันทบุรี) เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 50% และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าธุรกิจขนส่งด้านอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้ตลาดรถบรรทุกขนส่งสินค้ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

นายภูริวัทน์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเชื่อมโยงโครงข่ายเส้นทางคมนาคมและการเปิดเสรีทางการค้าในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และวางตำแหน่งภาคเหนือเป็นประตูเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ส่งผลต่อโอกาสในการขยายการค้าการลงทุนของภาคเหนือบนเส้นทาง R3A ผ่าน สปป.ลาว สู่จีนตอนใต้ มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ปัจจุบันความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจในภาคบริการขนส่ง (logistics) ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภาคเหนือจึงเป็นเป้าหมายที่จะพัฒนาเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่คาดว่าจะมีปริมาณทางการค้าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว”

นายภูริวัทน์กล่าวต่อว่า ล่าสุด สแกนเนียเปิดตัวเข้าสู่ยุคใหม่ (The Next Generation Scania) อย่างเป็นทางการทั่วประเทศกับรถบรรทุกรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับงานบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุม ช่วยเพิ่มผลกำไรธุรกิจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืน โดยวางจังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง (hub) รองรับการเติบโตในพื้นที่ภาคเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง พร้อมจัดแสดงรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ (Scania Roadshow) เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเดิมและเปิดทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งที่อยู่ในภาคเหนือได้มีโอกาสสัมผัสและทดสอบประสิทธิภาพของรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างใกล้ชิด สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ขับขี่

ทั้งนี้ สแกนเนียใช้เวลามากกว่า 10 ปีในการพัฒนารถบรรทุกรุ่นใหม่ ซึ่งผ่านการทดสอบจากทั่วทุกมุมโลก ทุกสภาพอากาศ ทุกภูมิประเทศ ทดสอบการใช้งานจริงมากกว่า 12 ล้านกิโลเมตรทั่วโลก ตอบโจทย์การขนส่งได้ดียิ่งขึ้น เริ่มจากมาตรฐานการเชื่อมต่อสัญญาณของรถบรรทุกเพื่อการบริหารฟลีตรถ ยกระดับบริการหลังการขายด้วยสัญญาการบำรุงรักษาเพื่อการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ (Scania Flexible Maintenance) ระบบจะเก็บข้อมูลการทำงานของรถแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถคำนวณระยะเวลาที่เหมาะสมในการนำรถเข้าบำรุงรักษา

ขณะที่ห้องโดยสารแบบใหม่ที่มีทัศนวิสัยการมองเห็นนอกรถได้ดียิ่งขึ้น ภายในโอ่โถง ด้วยความสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 10 เซนติเมตร ระบบส่งกำลังของรถที่เป็นดังหัวใจของสแกนเนีย ก็ได้ปรับปรุงเช่นกัน โดยได้ปรับเปลี่ยนห้องเผาไหม้และฝาสูบเครื่องยนต์การปรับระบบหล่อเย็นที่ดีขึ้น การปรับระบบเกียร์ออปติครุยส์ของสแกนเนีย พร้อมระบบเบรกไอเสียเพื่อให้เครื่องเดินเรียบขึ้น เปลี่ยนเกียร์เร็วขึ้น ซึ่งเมื่อรวมกับการออกแบบภายนอกตามหลักอากาศพลศาสตร์รถบรรทุกรุ่นใหม่ของสแกนเนีย สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีขึ้นถึง 5%

ความปลอดภัยของรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่มีระบบเบรกที่ดีขึ้น จากการทดสอบเมื่อขับอยู่ที่กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถเบรกระยะได้สั้นลง 2 เมตร ระบบเบรกฉุกเฉินแบบล่วงหน้า (advance emergency break) ด้วยเรดาร์และกล้องช่วยให้ลดความเสี่ยงการชน แชสซีใหม่ที่ซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น และสแกนเนียเป็นแบรนด์รถบรรทุกรายแรกในตลาดที่มีระบบถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับกรณีรถเสียการทรงตัวพลิกคว่ำ ซึ่งรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่นอกจากประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงแล้ว ยังปล่อยมลพิษในปริมาณต่ำ และล่าสุด สแกนเนียได้นำรถบรรทุกที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซมาตรฐานยูโร 6 มาทำตลาดในประเทศไทย ช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมด้านการขนส่งดีขึ้นอย่างยั่งยืน