ผักกรีนมาร์เก็ตเพชรบูรณ์ตีตลาดอียู

กรีนมาร์เก็ตเพชรบูรณ์เนื้อหอม บริษัทส่งออกดอดจีบซื้อผลผลิตส่งยุโรป รับกระแสเทรนด์โลกออร์แกนิกฟู้ดส์มาแรง พาณิชย์จังหวัดนำลงพื้นที่ปลูก สร้างความมั่นใจเกษตรกร พร้อมเร่งเครื่องทำตลาดในประเทศ กรมการค้าภายในเผยยอดปลูกพืชผักเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศเพิ่ม 83% ตั้งเป้า 3 ปีสร้างมูลค่าแตะ 5,000 ล้านบาท

นายพิชัย เมืองมัจฉา พาณิชย์จังหวัดเพชบูรณ์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ทางพาณิชย์จังหวัดกำลังเร่งทำตลาดเชิงรุกสินค้าเกษตรอินทรีย์ในกลุ่มพืชผัก ภายใต้แบรนด์กรีนมาร์เก็ต (Green Market) เพื่อขยายตลาดให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ และล่าสุดบริษัท แนชเชอรัล แอนด์ พรีเมี่ยม ฟู๊ด จำกัด บริษัทส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ในแถบเอเชียและยุโรป ต้องการซื้อหน่อไม้ฝรั่ง กระเจี๊ยบเขียว ฟักทอง บวบ ถั่วฝักยาว จำนวนมากเพื่อส่งออกไปยังลูกค้าในตลาดยุโรป

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางบริษัท แนชเชอรัล แอนด์ พรีเมี่ยม ฟู๊ดได้ลงพื้นที่พบปะกลุ่มเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ 5 กลุ่ม ในพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านริมสีม่วง อ.เขาค้อ, กลุ่มเกษตรอินทรีย์นางั่ว, กลุ่มเกษตรอินทรีย์ศรีเทพ, กลุ่มเกษตรอินทรีย์อำเภอเมือง อ.เมือง และกลุ่มเกษตรอินทรีย์วังร่อง อ.หล่มสัก

จากการพบปะเกษตรกรในรอบแรกนี้ มีการเจรจากันเบื้องต้นถึงการวางแผนการผลิตในแต่ละกลุ่ม ความสามารถในการผลิตสินค้า วันผลิตจนถึงวันเก็บ การรับซื้อและการประกันราคาขั้นต่ำ หลังจากนี้ พาณิชย์จังหวัดและตัวแทนกลุ่มเครือข่ายเกษตรอินทรีย์จะเดินทางไปยังบริษัทแม่ของบริษัทดังกล่าวที่กรุงเทพฯเพื่อดำเนินการเจรจาข้อตกลงทางธุรกิจต่อไป” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับ 5 กลุ่มเกษตรกรที่กล่าวมาข้างต้นถือเป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งและมีศักยภาพในการเพาะปลูก ประกอบกับความสนใจของกลุ่มในการทำตลาดต่างประเทศ ดังจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาบ้านวังร่อง อ.หล่มสัก ได้มีบริษัทส่งออกมารับซื้อหน่อไม้เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน

ขณะเดียวกัน นอกจากการเจรจาเพื่อรับซื้อผลผลิตแล้ว ทางบริษัทได้ให้การสนับสนุนโดยร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ทำการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้อีกด้วย

“เราได้เลือก 5 กลุ่มเครือข่ายเกษตรอินทรีย์นี้เป็นกลุ่มนำร่อง เพื่อกระตุ้นเกษตรกรเครือข่ายอินทรีย์อื่น ๆ รวมถึงพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปลูกในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ให้เกิดการตัดสินใจเข้าร่วม เพื่อรองรับโอกาสทางการตลาดทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งดำเนินตามแนวนโยบายของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดได้ชูการตลาดนำ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรผู้ผลิต” นายพิชัยกล่าว ยอมรับว่าที่ผ่านมาเกษตรกรส่วนใหญ่ยังหวั่นวิตกถึงตลาดหรือบริษัทที่จะมารองรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ ความร่วมมือในครั้งนี้มั่นใจว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มเกษตรกรได้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน การขยายตลาดในประเทศนั้น ล่าสุดเตรียมประสานตลาดศรีเมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นตลาดกลางรายใหญ่ที่กระจายสินค้าลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับเกษตรกร นอกจากตลาดหลักที่ดำเนินการมาแล้ว คือ วางจำหน่ายในท็อปส์ ซูปเปอร์มาร์เก็ต เลมอน ฟาร์ม รวมถึงการจัดจำหน่ายยังสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการนำพืชผักเกษตรอินทรีย์มาปรุงอาหารและภายใต้วิสัยทัศน์ของจังหวัด เพื่อให้เพชรบูรณ์เป็นเมืองแห่งความสุขของคนอยู่และผู้มาเยือนและอาหารที่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การตลาดเชิงรุกสอดรับกับการขยายพื้นที่ปลูกพืชผักเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีพบว่าเกษตรกรที่พึ่งพิงการปลูกพืชด้วยสารเคมี ได้หันมาสู่การปลูกแบบเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น และเกิดการเข้ารวมกลุ่มกัน เช่น บ้านวังร่อง อ หล่มสัก เกษตรกรใน อ.ศรีเทพ อ.หนองไผ่ อ.วิเชียรบุรี เป็นต้น

ขณะเดียวกัน กลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่ทำอยู่เดิมได้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงเกษตรกรเข้าร่วมกลุ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านริมสีม่วง อ.เขาค้อ เข้าร่วมโครงการ 7 ราย พื้นที่ปลูก 79 ไร่ ปัจจุบันมีสมาชิก 32 ราย มีพื้นที่ปลูกรวม 293 ไร่ หรือกลุ่มเกษตรอินทรีย์นางั่ว เดิมเข้าร่วมโครงการ 5 ราย พื้นที่ปลูก 55 ไร่ ปัจจุบันมีสมาชิก 20 ราย พื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 175 ไร่

ส่วนหน่วยงานต้นน้ำเกษตรอินทรีย์อย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งเป้าขยายพื้นที่ปลูกเกษตรอินทรีย์ในจังหวัดเพชรบูรณ์เป็น 1 แสนไร่ในปี 2564 นี้

รายงานข่าวจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกพืชผักเกษตรอินทรีย์ จากเดิม 357,091 ไร่ เพิ่มขึ้น 83% คิดเป็น 0.652 ล้านไร่ ซึ่งมีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ มีมูลค่าตลาดรวม 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าตลาดในประเทศ 900 ล้านบาท ตลาดส่งออก 2.1 พันล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี พร้อมตั้งเป้ามูลค่าตลาดรวมเติบโตเป็น 5,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี