อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย เปิดเผยว่าจากกรณี จ.เชียงราย ได้รับเลือกให้เป็นเมืองแห่งศิลปะของประเทศไทย โดยมีอีก 2 จังหวัด ได้แก่ จ.นคราชสีมา และ จ.กระบี่ รวม 3 จังหวัดนั้น พบว่าได้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะต้องมีการพัฒนาในพื้นที่อย่างขนานใหญ่ เนื่องจากเชียงรายถือเป็นเมืองแห่งศิลปินจำนวนมากและหลากหลายแขนง ปัจจุบันมีบ้านของศิลปินกระจายอยู่ทั่วจังหวัดทำให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว นอกเหนือไปจากวัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย ที่ตนสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา และบ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับตั้งอยู่ ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีหอศิลป์เพื่อเป็นสถานที่จัดแสดงผลงาน และหมู่บ้านศิลปินเพื่อเป็นประตูไปสู่บ้านของศิลปินที่แท้จริงตามอำเภอต่างๆ ต่อไป นอกจากนี้ในปี 2565 จ.เชียงราย จะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติหรืออาร์ต เบียนนาเล่ ต่อจาก จ.นครราชสีมา และ จ.กระบี่ ดังกล่าวด้วย ดังนั้นหากไม่มีสถานที่ที่เป็นศูนย์กลาง ก็จะไม่มีศิลปินทั่วโลกนำผลงานมาจัดแสดงและเป็นผลเสียอย่างมากแน่นอน
อาจารย์เฉลิมชัย กล่าวว่าในอดีตทุกๆ รัฐบาลไม่เห็นคุณค่าของศิลปะมากพอ ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศที่มีการสร้างพิพัธภัณฑ์ขนาดใหญ่เพื่อรองรับผลงานของศิลปินทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฯลฯ แม้ในยุคปัจจุบันที่ จ.เชียงราย มีผู้ว่าราชการจังหวัด และวัฒนธรรมจังหวัดที่ทุ่มเทให้กับเชียงรายอย่างเต็มที่แต่สุดท้ายผู้อนุมัติงบประมาณโครงการขนาดใหญ่ก็คือคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือรัฐบาล
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
อาจารย์เฉลิมชัย กล่าวว่า ดังนั้นตนจึงพยายามเสาะแสวงหาที่ดินเพื่อสร้างสถานที่ดังกล่าว ซึ่งพบว่ามีชาวบ้านบริจาคที่ดินให้หลายแปลงแต่หลายแห่งไกลเกินไป และบางแห่งเป็นสถานที่ทางราชการทำให้สร้างไม่ได้ ล่าสุดได้มีการคัดสรรเหลือเพียง 2 แห่ง โดยแปลงแรกเป็นที่ราชพัสดุซึ่งผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้ช่วยผลักดันให้ ณ หมู่บ้านเวียงหวาย ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ใกล้วัดร่องขุ่นและมีทางไปสนามบิน ส่วนอีกแปลงหนึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ซึ่งกำลังตกลงกับเอกชนที่จะบริจาคให้อยู่ เมื่อได้ข้อสรุปเรื่องที่ดินแล้วก็จะมีการจัดหางบประมาณเพื่อก่อสร้าง โดยคาดว่าต้องใช้อย่างน้อย 150 ล้านบาท โดยตนจะนำร่องบริจาคจำนวน 30 ล้านบาท จากนั้นจึงจะระดมกำลังบริจาคจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ได้ตามจำนวนดังกล่าวต่อไป