สัมภาษณ์
การมาปรากฏตัวของ “ปฐมา จันทรักษ์” รองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด (IBM) บนเวทีสัมมนา “Winning Digital Transformation in the Digital Disruption World” เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แสดงวิสัยทัศน์ชัดเจนเกี่ยวกับโลกที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทุกองคาพยพ ทั้งภาคอุตสาหกรรม การศึกษา องค์กรธุรกิจ ต้องปรับตัว เตรียมความพร้อมรับมือกับทิศทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต แต่ด้านหนึ่ง ผู้บริหารเบอร์ 1 ของ IBM กลับมองว่า “เชียงใหม่” คือ ยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลาง (hub) ด้านเทคโนโลยีในกลุ่มประเทศอินโดจีน CLMV ทางตอนเหนือ ที่ IBM กำลังก้าวรุก “ปฐมา จันทรักษ์” ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ”
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ปฐมาบอกว่า การมาพูดเรื่อง “Winning Digital Transformation in the Digital Disruption World” ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งนี้ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทั้งสตาร์ตอัพ เอสเอ็มอี อาจารย์ นักศึกษา ให้ความสนใจและตื่นตัว ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมาก จะทำอย่างไรเมื่อถูกเทคโนโลยีดิสรัปต์ เราจะข้ามผ่าน เปลี่ยน และปรับตัวเองได้อย่างไร winning digital transformation เป็นเครื่องมือต่าง ๆ ที่ IBM มี ไม่ว่าจะเป็น blockchain, AI, cloud และ security สามารถนำมาผนวกกันเพื่อทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ดันเชียงใหม่ฮับอินโดจีน
“เชียงใหม่” เป็นจุดยุทธศาสตร์ของภาคเหนือ เป็นยุทธศาสตร์ทางการค้าสำคัญที่เชื่อมประเทศในกลุ่มอินโดจีน และมีศักยภาพที่จะเป็น hub ของประเทศกลุ่มอินโดจีนทางตอนเหนือ แม้วันนี้เราตามไม่ทันสิงคโปร์ แต่ใน CLMV (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) เรามีโอกาส และเชียงใหม่มีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงมากในกลุ่มภูมิภาคนี้ เพราะมีความได้เปรียบหลายด้าน ทั้งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน มีมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ซึ่งเหนือเชียงใหม่ขึ้นไปคือจีน เราอาจแข่งกับจีนไม่ได้ แต่ในกลุ่ม CLMV เชียงใหม่มีโอกาสสูง
“IBM ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เรากำลังเร่งเดินหน้าขยายตลาดให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของอินโดจีน ประเทศเหล่านี้ต้องการใช้เทคโนโลยีมาก ระยะห่างของไทยกับอินโดจีน ถือว่าไม่ไกล และระยะบินจากเชียงใหม่กับอินโดจีนก็ไม่กี่ชั่วโมง”
ปฐมาบอกว่า นอกจากศักยภาพของความเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแล้ว เชียงใหม่มีอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STeP) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นความภูมิใจของคนไทย เป็นหน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับการปั้น startup เป็นแรงขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับภาคธุรกิจ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความได้เปรียบและแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ปัจจุบันประเทศเวียดนามให้ความสำคัญด้านการศึกษามากใน 2 ด้าน คือ STEM (science technology engi-neering and mathematics education : STEM education) และด้านภาษา รวมถึงกำลังเร่งเครื่องด้านเทคโนโลยีไปพร้อม ๆ กัน
“เรามองว่าหลักสูตรการศึกษาสำคัญที่สุด รอให้รัฐบาลผลักดันอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเป็นความร่วมมือแบบ PPP ล่าสุด IBM ได้ MOU กับกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้ความร่วมมือโปรแกรม P-TECH (pathways in technol-ogy early college high school) เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งจะตอบโจทย์ด้านเทคโนโลยี เราทำหลักสูตรที่ต่อยอดด้านเทคโนโลยี ควอนตัม บล็อกเชน เราเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยี มีสถาบันการศึกษา มีภาครัฐ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่จะทำงานร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ครู-อาจารย์ นักศึกษาได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน เด็กที่เรียน STEM ต้องอยู่ในสตาร์ตอัพที่ใช่ จบแล้วจะมีงานรองรับในสายเทคโนโลยีดิจิทัล”
สำหรับ P-TECH ของ IBM เป็นโครงการเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และ STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) เป็นการเปิดมิติใหม่ด้วยการปูทางจากระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและมหาวิทยาลัยสู่การทำงาน และผนึกความรู้ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาควิชาการและภาคธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะซึ่งจะเป็นที่ต้องการในศตวรรษที่ 21 ให้แก่บุคลากรรุ่นใหม่ของไทย พร้อมเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาได้สัมผัสกับตำแหน่งงานที่ไม่จำเป็นต้องมีปริญญา (new collar)
IBM ผนึก มช.ปั้นเด็ก STEM
ปฐมากล่าวต่อไปว่า เร็ว ๆ นี้ IBM เตรียมร่วมกับ STeP (Science and Technology Park) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาหลักสูตรตามโปรแกรม P-TECH ซึ่ง มช.เองก็กำลังทรานส์ฟอร์มจากการพูดคุยเบื้องต้นจะร่วมกันทำ education platform ในรูปแบบ PPP ที่จะดึงภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมด้วย เพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์นักศึกษา เป็นการ learning บนเทคโนโลยี platform ซึ่ง infrastructure ของ มช.มีความพร้อมสูง ทั้งนี้ IBM มองว่าต้องเตรียมความพร้อมของเด็กที่เรียนว่า จบไปจะทำอะไร เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยน ภาคอุตสาหกรรมก็ต้องปรับเปลี่ยนใช้เทคโนโลยี ภาคธุรกิจก็เหมือนกัน ดังนั้น มหาวิทยาลัยต้องมีหลักสูตรที่ตอบโจทย์ ซึ่งหลักสูตร P-TECHวางระยะยาว (long term) 5 ปี
โครงการ P-TECH ในประเทศไทย จะเริ่มในปีการศึกษา 2563 ในรูปแบบโปรแกรมการเรียน 5 ปี และเน้นการศึกษาในสายอาชีวศึกษา โดยนักศึกษาที่จบหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรขั้นสูงตามสาขาที่เรียน นักเรียนที่ร่วมโครงการจะได้รับการสนับสนุนจากไอบีเอ็ม และพันธมิตรภาคธุรกิจที่เข้าร่วมทั้งในแง่การแนะแนวจากผู้เชี่ยวชาญด้านไอที และด้านธุรกิจจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ การเปิดโอกาสให้นักศึกษาเยี่ยมชมสถานที่ทำงานจริง และการรับนักศึกษาเข้าฝึกงานโดยได้รับค่าตอบแทน โดยเมื่อจบหลักสูตร นักเรียนกลุ่มนี้จะมีโอกาสในการได้รับการพิจารณาเข้าทำงานเป็นอันดับแรก ๆ กับไอบีเอ็ม เอไอเอส ไมเนอร์ และพันธมิตรภาคธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ
นอกจากนี้ นักเรียนที่ร่วมโครงการยังจะได้เรียนหลักสูตรต่าง ๆ ที่ครอบคลุมถึงทักษะ ซึ่งจะเป็นที่ต้องการในอนาคต อาทิ วิทยาศาสตร์ข้อมูลอนาไลซิสดีไซน์ทิงกิ้ง อะไลฟ์ การสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น ภาวะผู้นำ เป็นต้น โดยไอบีเอ็มเริ่มทำโครงการ P-TECH มาตั้งแต่ปี 2554 ปัจจุบันได้ขยายไปแล้วกว่า 19 ประเทศ และคาดว่าจะมีการนำไปใช้ในโรงเรียนมากกว่า 200 แห่งทั่วโลกภายในสิ้นปี 2562 โดยมีพันธมิตรจากบริษัทต่าง ๆ กว่า 650 บริษัท ในอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และการผลิตขั้นสูง
“STeP มช. เหมือน ซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley) ซึ่งเป็น hub ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่นั่นสอนให้คนเป็นเจ้าของธุรกิจสอนให้พี่รักน้อง และ มช.ก็เป็นเช่นนั้น สอนให้พี่รักน้องเหมือนซิลิคอน วัลเลย์”
ปฐมากล่าวว่า หลาย ๆ ประเทศอย่างเกาหลี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย จะดูความสำเร็จจากคุณภาพการศึกษา ซึ่งเวลานี้ประเทศไทยต้องเพิ่ม skill ให้นักศึกษา เราต้องแข่งกับคนที่เล็กกว่า ใน CLMV เราแข่งขันได้ ทำอย่างไรให้ SMEs แค่ไม่ขายในประเทศ เชียงใหม่ในอนาคตต้องสร้างเศรษฐกิจ ธุรกิจไปข้างหน้าไม่ได้ ถ้าผู้นำไม่ดี แต่ที่ science park มช. มีผู้นำที่ดี science park คือ ความยิ่งใหญ่ ความน่าภูมิใจ
เชียงใหม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า รถต้องไม่ติด ต้องสร้างเศรษฐกิจบนฐานเทคโนโลยีดิจิทัล และต้อง think global