ชาวสวนภาคใต้แห่โค่น “ยาง-ปาล์ม” หันปลูก “กาแฟ”

ชาวสวนสแห่โค่นยางพารา-ปาล์มน้ำมันทิ้ง หันปลูกกาแฟ หลังยอดการบริโภคกาแฟเติบโตสูงกว่า 9 หมื่นตันต่อปี แถมเกษตรกร 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะยะลาพัฒนา หันนำพันธุ์อราบิก้าที่ปลูกได้ในภาคเหนือมาปลููกที่ภาคใต้

นายนัด ดวงใส เจ้าของไร่กาแฟ และรองประธานชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด (ชสท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2562 ภาพรวมตลาดกาแฟไทยมีการขยายตัวทั้งสายพันธุ์อราบิก้าและโรบัสต้า ซึ่งเริ่มมีการขยายพื้นที่ปลูกทั้งภาคเหนือและภาคใต้ โดยเฉพาะภาคใต้เกษตรกรหลายรายได้โค่นยางพารา ปาล์มน้ำมันทิ้ง แล้วหันมาปลูกกาแฟแทน ทั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และกระบี่ รวมไปถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หันมาศึกษาดูงานกลุ่มเกษตรกรสหกรณ์กาแฟ จ.ชุมพร เนื่องจากการบริโภคกาแฟมีทิศทางการเติบโตสูง จากปี 2559/2560 มีตัวเลขใช้ในการบริโภคเฉลี่ยกว่า 80,000 ตัน/ปี เมื่อปี 2560/2561 เพิ่มขึ้นเป็น 90,000 ตัน/ปี และในปี 2561/2562 ภาพรวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 90,000 ตัน

ทั้งนี้ บริษัทบางแห่งนำเข้ากาแฟมาจากต่างประเทศในลอตแรกของปีกว่า 2,000 ตัน มากเท่ากับทั้งหมดที่นำเข้าในปีที่ผ่านมา เกษตรสามารถปลูกเพิ่มจำนวนผลผลิตในประเทศเพื่อรองรับการบริโภคได้อีกถึง 2 เท่าตัวของจำนวนที่ปลูกอยู่ จากภาพรวมของพื้นที่ปลูกประมาณ 300,000 ไร่ เพิ่มเป็น 600,000 ไร่ เช่นเดียวกับภาคใต้จะปลูกทดแทนยางพารา ปาล์มน้ำมัน หรือทำเป็นไร่กาแฟผสมผสานก็สามารถทำได้ และจากงานประชุมสัมมนาทางวิชาการเพื่อพัฒนาการปลูกกาแฟที่ผ่านมา ที่ประชุมระบุว่ากาแฟโรบัสต้าได้รับความนิยมในกลุ่มชาวเอเชียสูงมาก เพราะมีรสเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์

“แม้ว่าจะสามารถปลูกกาแฟไทยเพิ่มได้เพราะมีตลาดผู้บริโภครองรับ แต่ก็มีประเด็นกาแฟนำเข้าที่น่าจับตามอง ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคมปีนี้จนถึงเดือนมีนาคม 2563 จะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวกาแฟไทยปี 2562/2563 ราคาผลผลิตน่าจะใกล้เคียงกับปี 2562 อยู่ที่ 67-68 บาท/กก. และราคาสูงสุดอยู่ที่ 70 บาท/กก. ขณะที่ราคากาแฟจากต่างประเทศอย่างเวียดนาม สปป.ลาว จะต่ำกว่าไทยอยู่ประมาณ 10 บาท/กก. เพราะต้นทุนการผลิตกับอัตราค่าแรงงานต่ำ พื้นที่ปลูกก็อุดมสมบูรณ์แตกต่างจากไทยที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่าถึง 80% บริษัทผู้นำเข้าจะได้ส่วนต่างประมาณ 5 บาท/กก. อาจจะเกิดผลกระทบต่อตลาดกาแฟไทย”

นายสุพิท จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา (สสก.5) เปิดเผยว่า ภาคใต้มีพื้นที่ปลูกกาแฟประมาณ 180,000 ไร่ ใน จ.ชุมพร ประมาณ 120,000 ไร่ จ.ระนอง 50,000 ไร่ นอกจากนั้นกระจายตัว 10-20 ไร่ และรายเล็กปลูกกาแฟแบบสวนผสม ขณะที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะ อ.ธารโต อ.เบตง จ.ยะลา เคยเป็นแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าเริ่มส่งเสริมการปลูกพันธุ์อราบิก้าที่นิยมปลูกในภาคเหนือ เพราะเป็นพื้นที่สูงและมีความเหมาะสมสามารถให้ผลผลิตได้


แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการกาแฟเปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีการลักลอบนำเข้ากาแฟผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 30,000 ตัน/ปี โดยเฉพาะช่วงที่ไทยหมดฤดูการเก็บเกี่ยว ส่วนใหญ่จะสต๊อกไว้ตามโกดังสินค้าแนวพรมแดนไทย สปป.ลาว กัมพูชา ก่อนจะแปรสภาพเป็นกาแฟไทยถูกต้องตามกฎหมาย แล้วนำออกขายตามออร์เดอร์ส่งถึงที่ก่อนจัดเก็บเงินภายหลังประมาณ 200-500 ตัน