คอนโดรังนกผุด2หมื่นหลัง ทุนจีนกว้านซื้อแข่งส่งออก

แฟ้มภาพ

ตลาดรังนกหมื่นล้านป่วน พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองฯบังคับใช้ 26 พ.ย.นี้ แต่กฎหมายลูกไม่คืบ บ้าน คอนโดฯรังนกบูมจัด ผุดเพิ่มเท่าตัวหมื่น 2 หมื่นหลัง ทุนจีนรุกเงียบทุ่มซื้อผลิตส่งขายตลาดจีน เผยรังนกบ้านโตพรวดแย่งแชร์รังนกธรรมชาติ อบจ. 9 จังหวัดหวั่นค่าสัมปทานราคาตก

นายกมลศักดิ์ เลิศไพบูลย์ นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจรังนกแอ่น (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เหลือเวลาอีก 6 วัน หรือวันที่ 26 พ.ย. 2562 ที่ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 14 มีผลบังคับใช้ ซึ่งกฎหมายใหม่ให้ผู้เลี้ยงรังนกบ้าน หรือรังนกคอนโดฯสามารถยื่นขอใบอนุญาตเก็บและครอบครองรังนกได้ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กฎหมายลูกเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติการยื่นขอใบอนุญาต รวมทั้งกฎหมายรองที่เกี่ยวข้องทั้ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2562 ยังไม่คืบหน้า

คอนโดฯรังนกผุด 2 หมื่นหลัง

ขณะที่ช่วง 6 เดือนระหว่างรอ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ มีการแห่สร้างบ้านรังนกใหม่เพิ่มขึ้นจากกว่า 10,000 หลัง เป็น 20,000 หลังทั่วทุกภาคของประเทศ จึงสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายความปลอดภัย และสุขอนามัย เพราะไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาควบคุมดูแลสมาคมขอให้รัฐผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดไปก่อนและไม่ควรมีการเปิดสร้างบ้านรังนกอย่างเสรี

“ตลาดรวมธุรกิจรังนก (รวมรังนกพร้อมดื่ม) มีมูลค่ารวมกว่า 15,000-16,000 ล้านบาท สร้างมูลค่าการส่งออกให้ประเทศได้มหาศาล วันนี้กลับไม่มีหน่วยงานใดสนใจ ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือขอเข้าพบ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ ให้เร่งรัดเรื่องการออกกฎหมายลูกอีกครั้ง แต่ยังไม่มีความคืบหน้า”

กระทุ้งรัฐเร่งออกกฎหมายลูก

โดยเฉพาะการกำหนดนิยามอาคารบ้านรังนกแอ่นไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้มีการดัดแปลง, ต่อเติมอย่างไม่ถูกต้อง สุ่มเสี่ยงกระทำผิดกฎหมาย เช่น บางจังหวัดมีการนำอาคารพาณิชย์มาต่อเติมจาก 3 ชั้น ขึ้นไปถึง 6 ชั้น จึงขอเร่งรัดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ให้อาคารบ้านรังนกแอ่นสามารถยื่นขออนุญาตก่อสร้าง, ดัดแปลง, ต่อเติม หรือเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้อาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มิฉะนั้น ไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน และมาเลเซีย

รังนกบ้านแย่งตลาด

นายวงษ์รัตน์ เพชรตีบ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง เขต อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ในฐานะรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง (อบจ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการเปิดประมูลสัมปทานรังนกถ้ำ เปิดเผยว่า เมื่อปริมาณรังนกบ้านขยายตัวเติบโตขึ้น จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตรังนกนางแอ่นธรรมชาติที่ได้จากการเลี้ยงในถ้ำ ขณะเดียวกันด้านราคาที่ผ่านมา ตลาดรังนกถ้ำราคาสูงกว่ารังนกบ้านมาก แต่ปัจจุบันราคาห่างกันไม่มาก

หวั่นทำสัมปทานราคาตก

นายประเสริฐ ดำสุด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พัทลุง เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาวะตลาดรังนกโดยภาพรวมราคาไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากลูกค้ารายใหญ่ของโลกมีเพียงแค่จีน ราคารังนกถ้ำยังเคลื่อนไหวที่ 80,000-120,000 บาท/กก. ส่วนรังนกคอนโดฯบ้านเริ่มต้นที่ 50,000 บาท/กก. ปัจจัยสำคัญคือรังนกอีแอ่นคอนโดฯบ้านขยายตัวเติบโต และออกสู่ตลาดมากกว่า ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกหันไปบริโภครังนกอีแอ่นคอนโดฯบ้านที่ราคาถูกกว่ารังนกถ้ำแทน จึงน่าห่วงว่าจะส่งผลต่อการประมูลสัมปทานเก็บรังนกในถ้ำ

มีรายงานข่าวว่า ในอดีต จ.พัทลุง เคยเปิดประมูลสัมปทานรังนกด้วยราคาสูงสุดระยะเวลา 7 ปี 700 ล้านบาทและได้ลดระยะเวลาสัมปทานเหลือ 5 ปี ราคา 450 ล้านบาท อีก 2 ปีข้างหน้าที่รังนกถ้ำเกาะสี่ เกาะห้า อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง จะหมดสัมปทานลง ต้องเปิดให้ยื่นประมูลใหม่จะส่งผลให้ราคาสัมปทานรังนกร่วงลงอีก และพื้นที่สัมปทานรังนกอีแอ่น 9 จังหวัด มี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี พัทลุง กระบี่ ตรัง พังงา สตูล และ จ.ตราด จะมีปัญหาเหมือนกัน

ทุนจีนดอดซื้อบ้านนกในไทย

นายปรีชา คล้าเจริญสมบัติ กรรมการชมรมตลาดกลางรังนกตราด กล่าวว่า ปริมาณความต้องการรังนกในตลาดจีนยังมีสูง เห็นได้จากปัจจุบันอินโดนีเซียส่งออกรังนกไปตลาดจีน 2,000 ตัน/ปี ขณะที่ไทยส่งออกเพียง 200 ตัน/ปี เมื่อมีการอนุญาตให้เลี้ยงนกแอ่นบ้าน จึงควรให้ผู้เลี้ยงขึ้นทะเบียนและภาครัฐไปจัดทำข้อตกลงการค้ากับจีน เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ทำให้ราคารังนกในตลาดสูงขึ้นกว่านี้ จากที่ผ่านมาไทยจะขายผ่านฮ่องกงไปจีน หรือขายให้พ่อค้าเข้ามาซื้อในลานประมูล กก.ละ 25,000-35,000 บาท ทั้งที่ราคาในตลาดจีนสูงถึง กก.ละ 200,000-300,000 บาท

ที่น่าห่วงคือล่าสุด ชาวจีนเริ่มเข้ามาซื้อบ้านนกในพื้นที่หลายจังหวัด อย่างที่ตลาดภิบาลญาติ อ.แกลง จ.ระยอง ซื้ออาคารนกคูหาเดียวสูงถึง 22 ล้านบาท ฯลฯ ผลิตรังนกส่งไปขายในตลาดจีน อนาคตจะเป็นคู่แข่งผู้ประกอบการรังนกไทยด้วย