หอการค้า 5 ภาค ฝากการบ้านรัฐบาล แก้แล้งซ้ำซาก-ฟื้นกำลังซื้อ-บูมท่องเที่ยวชุมชน

ปิดฉากการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 37 ตามธรรมเนียมที่ภาคเอกชนท้องถิ่นทั่วประเทศยื่นข้อเรียกร้อง “สมุดปกขาว” ถึงผู้นำรัฐบาล ไฮไลต์ปีนี้สิ่งที่นักธุรกิจทุกจังหวัดกังวลสอดคล้องกัน คือ ภาพรวมเศรษฐกิจซบเซา เงินบาทแข็งค่า เทรดวอร์สหรัฐ-จีนที่ส่งแรงกระเพื่อมอย่างสูงต่อการค้าขายทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก

เหนือ-อีสานโฟกัสหมอกควัน-ท่องเที่ยว

“วิโรจน์ จิรัฐติกาลโชติ” ประธานกลุ่มภาคเหนือ เสนอ 3 ข้อหลัก 1.การแก้ปัญหาหมอกควัน กระทบโดยตรงกับธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ ขอให้มีกฎหมายอากาศสะอาดออกมาบังคับใช้ 2.การบริหารจัดการน้ำแก้ปัญหาภัยแล้ง

3.ภาคเหนือเป็นภาคแรกในประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว 22% จากประชากรผู้สูงวัยทั่วประเทศ 8 ล้านคน หรือไม่ต่ำกว่า 1.76 ล้านคน ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐจัดหางานให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ เพราะยังมีกำลังทำงานได้อยู่

“การท่องเที่ยวภาคเหนือยังมีอัตราเติบโตสูง สัดส่วน 70-80% ยังเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน และเกาหลี ยุโรป รูปแบบเปลี่ยนจากกรุ๊ปทัวร์เป็นกลุ่ม FIT-free independent traveler หรือนักท่องเที่ยวอิสระมากขึ้น ภาคท่องเที่ยวจึงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ”

“สวาท ธีระรัตนนุกูลชัย” ประธานกลุ่มภาคอีสาน ระบุข้อเสนอหลักในเรื่องภัยแล้งกับการเป็นเดสติเนชั่นด้านการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ปัญหาภัยแล้ง-น้ำท่วมน้ำขังซ้ำซาก กลายเป็น new normal ที่เป็นปัจจัยลบทางเศรษฐกิจในพื้นที่ จำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำอย่างเร่งด่วน เพราะภาคอีสานเติบโตจากเศรษฐกิจหลัก คือ ภาคการเกษตร ส่วนด้านการท่องเที่ยว มีการกำหนดธีม “อเมซิ่งอีสาน” จัดตั้งเมืองท่องเที่ยวเชื่อมโยงจังหวัดตามเส้นทาง เช่น การท่องเที่ยวอารยธรรมขอมโซนอีสานใต้ การท่องเที่ยวริมโขง ฯลฯ

ภาคกลาง-ใต้จี้แก้เกษตรตกต่ำ-โลจิสติกส์

“จิตร์ ศิรธรานนท์” ประธานกลุ่มภาคกลาง ชี้ให้เห็นปัญหา 4 เรื่อง 1.การค้าปลีกค้าส่งที่รับผลกระทบจากกำลังซื้อตกต่ำ 2.การค้าชายแดน จ.ประจวบคีรีขันธ์-กาญจนบุรี ขาดทุนเพราะขนส่งสินค้าเพื่อแปรรูปไกลและใช้เวลามาก 3.ราคาพืชเกษตรตกต่ำ อาทิ ข้าวไม่เกิน 10,000 บาท/ตัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย ราคาไม่มีเสถียรภาพ 4.การท่องเที่ยวชะลอตัวลง

นำมาสู่สมุดปกขาวดังนี้ 1.เพิ่มแพลตฟอร์มการค้าขายสินค้าออนไลน์มากขึ้น เพื่อกระจายผลผลิต ดำเนินการควบคู่มีมาตรการจัดเก็บภาษีออนไลน์อย่างเคร่งครัดทั้งผู้ประกอบการไทย-ต่างชาติ 2.เร่งรัดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้แรงงานฐานรากมีรายได้ล่วงเวลา (โอที) มองว่ากระตุ้นกำลังซื้อฐานราก ดีกว่าการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ

3.ขยายพื้นที่ด่านเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและส่งเสริมการท่องเที่ยว 4.สนับสนุนเกษตรกรผลิตสินค้าเกษตรตามความต้องการของตลาด 5.สร้างจุดขายด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวชุมชนเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มจังหวัด

“วัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ” ประธานกลุ่มภาคใต้ เปิดเผยว่า เสนอให้รัฐบาลสร้างอาชีพเสริมในสวนยางพาราและสวนปาล์ม เช่น การปลูกผัก เลี้ยงแพะ โดยมีหอการค้าเป็นผู้หาตลาดให้กับเกษตรกร

“ภาคใต้มีปัญหาหลักยางพาราและปาล์มราคาตกต่ำ ปัจจุบันมีรายได้รวม 2 แสนล้านบาท หากราคาผลผลิตเพิ่ม 10 บาท/กิโลกรัม จะสามารถสร้างเงิน 3-4 หมื่นล้าน หากทำสวนผสม จะสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรอัตโนมัติ รวมทั้งออกมาตรการบูมท่องเที่ยวชุมชน เพื่อให้คนในพื้นที่มีรายได้สูงขึ้น”

ตะวันออกขออ่างเก็บน้ำ-ทะลวงอีคอมเมิร์ซ

“ปรัชญา สมะลาภา” ประธานกลุ่มภาคตะวันออก คอมเมนต์หนักมาก เพราะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมส่งออกของประเทศที่มีรายได้ติดลบจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลก และเงินบาทแข็งค่า มี 6 ข้อเสนอ 1.เร่งรัดลงทุนเพื่อสร้างความชัดเจนด้านโครงสร้างพื้นฐานใน EEC (เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) 2.สนับสนุนการค้าชายแดน

3.รัฐบาลต้องทำมาตรการเชิงรุกเพื่อผลักดันให้ SMEs ไทย ขายสินค้าสู่ตลาดต่างประเทศได้มากขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งช่วง 10-11 เดือนของปี 2562 มีการซื้อขาย 170 ล้านชิ้น แต่เป็นสินค้าจากจีน 130 ล้านชิ้น คาดว่าปี 2563 การเทรดบนออนไลน์มากถึง 300-400 ล้านชิ้น ในขณะที่ปัจจุบันสินค้าไทยส่วนใหญ่ติดปัญหากลไกรัฐไม่อำนวยความสะดวกในการขายบนออนไลน์

4.การส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างถนนและโครงสร้างพื้นฐานแนวชายฝั่ง 5.ยังขาดระบบขนส่งสาธารณะเต็มรูปแบบที่สนามบินอู่ตะเภา ทำให้นักท่องเที่ยวต้องกลับไปพักที่พัทยา ไม่สามารถกระจายการท่องเที่ยวมาสู่เมืองรองได้ 6.สร้างอ่างเก็บน้ำเพิ่มรองรับปัญหาขาดแคลนรุนแรงในช่วงฤดูแล้ง

ม.หอการค้าฯมองบวกปี”63 ศก.ฟื้นตัว

ด้านกุนซือเศรษฐกิจจากรั้วมหาวิทยาลัย “ธนวรรธน์ พลวิชัย” รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จีดีพีปี 2562 ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี แต่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ถ้ารัฐบาลสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไตรมาส 4/62 อยู่ที่ 2.8-3.0% จะสามารถฟื้นตัวได้ในไตรมาส 1/63 เซ็กเตอร์ที่ส่งสัญญาณดีที่สุดยังเป็นการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับเข้าไทยตั้งแต่ไตรมาส 3/62 เฉลี่ย 3 ล้านคน ไตรมาส 4/62 น่าจะดีขึ้น ความหวังของเศรษฐกิจไทย ณ ขณะนี้ จึงอยู่ที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว

“ทุกฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะค่อย ๆ ฟื้นในไตรมาส 2/63 เป็นต้นไป ถ้าสงครามการค้าคลี่คลาย เรามองว่าปี 2563 เศรษฐกิจไทยจะโต 3.1% ภาคเกษตรโต 2.8% อุตสาหกรรมโต 3.2% การส่งออกเป็นบวก 1.8% เริ่มฟื้นตัวอ่อน ๆ แนวโน้มปี 2563 ซึ่งมาตรการการคลังของรัฐบาลเริ่มเห็นผล คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติ 41-42 ล้านคน”

“จีดีพีมีโอกาสโต 2.6-3.6% โดยโอกาสที่จีดีพีโต 3.1% อยู่ที่ 60% ส่วนความเสี่ยงจีดีพีจะต่ำกว่า 3% และฟื้นตัวน้อยอยู่ที่ 25%”

เทรนด์การเติบโตเศรษฐกิจในภูมิภาค ประเมินจากโมเดลภาพรวมจีดีพีประเทศปีหน้าโต 3.1% คาดทำให้กรุงเทพฯเติบโต 2.3% ภาคบริการและท่องเที่ยวปริมณฑลโต 2.9%

ภาคที่โตเด่นชัด คือ ภาคตะวันออก เติบโต 4.5% ภาคกลาง 3.4% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3.3% ภาคเหนือ 2.6% และภาคใต้ 2.6%