กรอ. 4 จังหวัดเหนือจี้รัฐผ่อนกฎ นักท่องเที่ยวจีนขับรถเข้าด่านไทย

ข้ามแดน - ในอดีตนักท่องเที่ยวจีนนิยมขับรถผ่านด่าน อ.เชียงของ 4,000 คัน/เดือนแต่หลังจากกระทรวงคมนาคมเข้มงวดทำให้มีรถเข้ามา 100-200 คัน/เดือน

กรอ. 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน “เชียงราย-พะเยา-แพร่-น่าน” จี้รัฐคลายกฎ “คนจีนขับรถ” ผ่านด่านภาคเหนือ หลังยอดนักท่องเที่ยวผ่านด่านเชียงของลดฮวบจาก 4 พันคันต่อเดือน เหลือเพียง 100-200 คันต่อเดือน เผยสิ้นปี 2562 คาดตัวเลขนักท่องเที่ยวใกล้เคียงปีก่อนทะลุ 4 ล้านคน

นายอนุรัตน์ อินทร ประธานหอการค้า จ.เชียงราย เปิดเผยว่า จ.เชียงรายเป็นเมืองที่มีภาคการท่องเที่ยวเป็นเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัด โดยในปี 2561 พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวไปเยือนจำนวน 4,972,033 คน สร้างรายได้เข้าจังหวัดประมาณ 38,653.10 ล้านบาท และในปี 2562 นี้ถือได้ว่าฤดูการท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นที่มากับความหนาวเย็นเกิดขึ้นเร็วกว่าทุกปี ทำให้บรรยากาศคึกคักอย่างเต็มที่ และตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค. 2562 ซึ่งยังไม่ถึงช่วงไฮซีซั่นมีนักท่องเที่ยวไปเยือนแล้วจำนวนเกือบ 1 ล้านคน สร้างรายได้เข้าจังหวัดประมาณ 6,500 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าเมื่อรวมกับ 4 เดือนที่เหลือ (ก.ย.-ธ.ค. 62) จะทำให้ตัวเลขมากกว่าหรือใกล้กับปีที่ผ่านมาแน่นอน เพราะนอกจากจะมีความหนาวและภูมิประเทศเป็นสิ่งดึงดูดแล้ว ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย

“ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ยังคงมีนักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากภูมิศาสตร์ที่ จ.เชียงรายตั้งอยู่ห่างจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน เพียงประมาณ 250 กิโลเมตร สามารถเดินทางเชื่อมกันได้ทั้งทางบก ทางเรือแม่น้ำโขง และทางเครื่องบิน ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นที่สนใจของภาคการท่องเที่ยวไทย และพบว่านักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางมาทางรถยนต์ โดยเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนพบว่า เคยทะลักเข้ามาท่องเที่ยวผ่านด่านพรมแดน อ.เชียงของ โดยข้ามสะพานแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 เข้ามาเดือนละกว่า 4,000 คัน แต่หลังจากนั้นทางกระทรวงคมนาคมได้มีการเข้มงวดการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางโดยรถยนต์เข้ามาเหลือน้อยกว่าเดิมมากประมาณ 100-200 คันต่อเดือน”

ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ที่ จ.เชียงราย ในเดือน ธ.ค.นี้ทางหอการค้า จ.เชียงราย จึงได้นำเสนอให้มีการผ่อนปรนกฎระเบียบดังกล่าวลงให้มาก โดยมีเนื้อหาหลัก ๆ เช่น เรื่องการแจ้งขอเข้าเมืองของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ในอดีตกำหนดให้แจ้งล่วงหน้านานกว่า 1 เดือน แต่ช่วงหลังลดลงเหลือเพียง 3 วันหรือ 1 สัปดาห์ รวมทั้งมีระเบียบอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ชาวจีนตัดสินใจไม่เดินทางเข้ามาทางด่านพรมแดน อ.เชียงของ

“ต้องยอมรับว่าทางเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่ง จ.เชียงราย ได้พยายามพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจีนอย่างเต็มที่ ทั้งการอบรมคนขับรถที่ด่านพรมแดนโดยตรง แทนที่จะต้องเดินทางไปอบรมยังสำนักงานใหญ่ในเขต อ.เมืองเชียงราย และอื่น ๆ แต่โดยหลักการแล้วระเบียบต่าง ๆ ยังไม่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจีนขับรถยนต์ลงมา จึงเห็นว่าเรื่องนี้ควรจะมีการนำเข้าสู่การประชุมระดับต่าง ๆ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวเพื่อให้ได้ข้อสรุปสำหรับนำไปผลักดันในระดับนโยบายก่อนนำไปสู่ภาคปฏิบัติในปี 2563 ที่จะถึงนี้ต่อไป ซึ่งหากว่าทำได้สำเร็จจะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของ จ.เชียงราย และภาคเหนือได้รับอานิสงส์จากช่องทางที่ จ.เชียงรายนี้ด้วยต่อไป”

นายอนุรัตน์กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายมีการจัดกิจกรรมวิ่งรูปแบบต่าง ๆ จากหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ เกือบทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละอย่างน้อย 1 รายการ ทั้งภายในจังหวัดและระหว่างพรมแดนไทย-สปป.ลาว และเมียนมา ซึ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวไปเยือนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีการจัดงานกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อรองรับฤดูหนาวค่อนข้างมาก นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้ส่งเสริมการเป็นเมืองศิลปินจนรัฐบาลยกให้ จ.เชียงรายเป็น 1 ใน 3 เมืองศิลปะ โดยมีอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ผู้สร้างศิลปะที่วัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย นำศิลปินขับเคลื่อนกิจกรรมและพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหอการค้า จ.เชียงรายเองพยายามส่งเสริมโดยได้ลงนามข้อตกลงหรือเอ็มโอยูกับเมืองต่าง ๆ ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่อยู่ติดกันแล้วถึง 3 เมือง คือ ตองยีซึ่งเป็นเมืองเอก มูเซ และล่าสุดคือมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า โดยการผลักดันแรก ๆ คือ เปิดทำการบินเชื่อมระหว่างท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กับเมืองต่าง ๆ ดังกล่าวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและจากภายในเมียนมาด้วย