“ตลาดโรงเกลือ”ดิ้นคืนชีพ แปะยี่ห้อไร้ละเมิดลิขสิทธิ์

โรงเกลือดิ้นคืนชีพ “เทียนทอง” นำทีมแม่ค้าไทย-กัมพูชา จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แทนตลาดแบรนด์มือสอง บุกตลาดล่าง หลังดีเอสไอสนธิกำลังทหาร มทบ. 19 ปฏิบัติการ “สระแก้วโมเดล” ทุบตลาดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ 100 ล้าน

แผนปฏิบัติการ “สระแก้วโมเดล” ที่คาดหวังจะทลายแหล่งสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้ากระเป๋า รองเท้า และชุดกีฬา จากที่เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 กลายเป็น “ยาแรง” ส่งผลให้ย่านโรงเกลือทุกตลาดกลายเป็นตลาดร้าง

“เทียนทอง” นำทีมตั้งแบรนด์

ล่าสุดพบว่า “อาคารสีฟ้า” ภายใต้การดูแลของบริษัท โกลเด้นเกต พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทในเครือตระกูล “เทียนทอง” ได้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง ด้วยการพลิกโฉมใหม่เป็น “ตลาดที่ปลอดสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและกัมพูชา ที่พร้อมใจนำสินค้าแบรนด์จากจีนและเวียดนามไปยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว 7-8 รายการมาวางจำหน่าย รวมถึง “สินค้ามือสอง” ที่เป็นจุดขายของโรงเกลือมาตั้งแต่แรกเริ่ม กลายเป็นทิศทางใหม่ของตลาดโรงเกลือที่ต้องจับตา

นายอนุกล้า อ่อนน้อม ผู้จัดการตลาด บริษัท โกลเด้นเกต พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (ตลาดโกลเด้นเกต พลาซ่าหรือตลาดเทศบาล 3) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เอกลักษณ์ของตลาดโรงเกลือเป็นตลาดสินค้ามือสอง แต่ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีการนำสินค้าละเมิดฯมาจำหน่าย เมื่อปี 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมกับจังหวัดสระแก้ว ได้ปราบปรามและป้องปราม มาถึงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2560 มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา โดยมีผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 19 (ผบ.มทบ.19) เป็นประธาน โดยได้ปราบปรามกวดขันอย่างจริงจังมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปิดไปถึง 80% จาก 450 ร้าน เหลือไม่ถึง 50 ร้าน

เน้นตลาดล่าง 150-800 บาท/ชิ้น

หลังจากนั้น บริษัทได้ประชุมผู้ประกอบการเพื่อหาทางออก โดยปรึกษากับพาณิชย์จังหวัดสระแก้ว เป็นที่มาให้ผู้ประกอบการสินค้ารายใหญ่ชาวกัมพูชา 9-10 ราย ตัดสินใจออกแบบแบรนด์สินค้าของตัวเอง แล้วให้โรงงานที่ประเทศเวียดนามผลิต ทั้งกระเป๋าสตรี รองเท้าแฟชั่น รองเท้าใส่เล่น เน้นกลุ่มลูกค้าระดับล่าง กำหนดราคาขายปลีกประมาณ 150-800 บาทต่อชิ้น ล่าสุดมีสินค้าที่ขอจดเครื่องหมายการค้าแล้วประมาณ 7-8 รายการ

“ตอนนี้ร้านค้าในตลาดเปิดประมาณ 80-90% แล้ว ขอให้มั่นใจว่าที่นี่ปลอดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์แน่นอน ได้คุยกับผู้ประกอบการ ให้ทุกคนหาวิธีเคลียร์ของละเมิดออกจากพื้นที่ให้หมดแล้วตั้งหลักใหม่ ใช้สินค้าใหม่ ซึ่งรูปแบบสินค้าไม่ต่างจากเดิม แต่มีการออกแบบลวดลายเอง สำหรับสินค้าที่ถูกลิขสิทธิ์ เช่น เสื้อสโมสรฟุตบอลดังในต่างประเทศ มีตัวแทนจำหน่ายที่ไปขออนุญาตถูกต้อง”

ผู้จัดการตลาด บริษัท โกลเด้นเกตกล่าวอีกว่า แม้ว่าตลาดหลังคาฟ้าได้ปรับรูปแบบใหม่มา 2 เดือนแล้ว แต่ก็ยังคงมีหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งทหาร ตำรวจ ศุลกากร ฝ่ายปกครอง เข้ามาเดินตรวจชุดละ 10-20 คน วันละ 1-2 ครั้ง

แม่ค้ากัมพูชาปรับตัว

ด้านนาง THIP THIET แม่ค้าชาวกัมพูชาจำหน่ายรองเท้ามือสองที่ตลาดโรงเกลือ (หลังคาฟ้า) กล่าวว่า ครอบครัวมาขายรองเท้าในตลาดโรงเกลือมานานเกือบสิบปีแล้ว เริ่มแรกขายรองเท้ามือสองก่อน ก่อนที่จะมาโดนเจ้าหน้าที่ปราบปรามไม่ให้ขาย ทุกวันนี้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากโรงงานประเทศเวียดนามที่ไม่ละเมิด มีใบอนุญาตถูกต้อง

“ตอนนี้เรายอมเปลี่ยนแปลงตัวเองบางส่วนแล้ว เพื่อความอยู่รอด ซึ่งสินค้าใหม่อาจมี Copy บ้างแต่ไม่ได้ 100% เราเอาไอเดียของเราด้วยผสมผสานกัน จนออกมาเป็นรองเท้าผ้าใบและรองเท้าใส่เล่น คิดยี่ห้อเป็นของตัวเอง ชื่อ FULLY แล้วไปยื่นจดเครื่องหมายการค้าที่พาณิชย์จังหวัดแล้ว” นาง THIP THIET กล่าว

ขณะที่นางสาวจันทร์เพ็ญ สอนสมสุข พาณิชย์จังหวัดสระแก้ว เปิดเผยว่า การเปลี่ยนรูปแบบจำหน่ายสินค้าของตลาดหลังคาฟ้า ด้านหลังตลาดโกลเด้นเกต พลาซ่า ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี แต่จะตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ก็ต้องใช้เวลา มีบางส่วนก็มายื่นคำขอจดเครื่องหมายการค้า

“อนาคตตลาดโรงเกลือคงต้องปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จะเห็นได้จากเริ่มแรกขายสินค้ามือสอง มาเป็นสินค้าละเมิด เริ่มมีการสั่งสินค้าใหม่จากจีน เวียดนาม รวมทั้งที่ตลาดสำเพ็ง โบ๊เบ๊ มาขาย แล้วก็เปลี่ยนมาขายสินค้าไม่มีแบรนด์ หรือออกแบบเครื่องหมายการค้าเอง โดยจะต้องไม่มีของละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งคงต้องดูกันระยะยาวต่อไป ว่าตลาดการค้าชายแดนที่ใหญ่ที่สุดแห่งนี้จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน”


ตลาดโรงเกลือประกอบด้วย 7 ตลาดย่อย ได้แก่ ตลาดโรงเกลือ อบจ.สระแก้ว (ตลาดเก่า) ตลาดเบญจวรรณ ตลาดทรัพย์สมบูรณ์ ตลาดโกลเด้นเกต พลาซ่า ตลาดเดชไทย ตลาดอินโดจีน และตลาดรัตนธรรม ซึ่ง 90% เป็นผู้ประกอบการชาวกัมพูชา มีเงินหมุนเวียนวันละ 100 ล้านบาท ภายหลังจากปฏิบัติการสระแก้วโมเดล สภ.คลองลึก อรัญประเทศ ระบุว่า จับกุม 522 คดี ผู้ต้องหา 89 คน ของกลาง 98,890 ชิ้น มูลค่าของกลางประมาณ 19 ล้านบาท