อ่วม!!จุดความร้อนเหนือ ตาก-ลำปาง-เชียงใหม่ PM 2.5 พุ่งสูง ทะลุกว่า 3 พันจุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์หมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบนยังรุนแรงต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นมา โดยพบว่า ระหว่างวันที่ 1-20 มกราคม 2563 พบจุดความร้อน (Hotspot) สะสมจากดาวเทียมระบบ VIIRS จำนวน 3,506 จุด โดยจังหวัดตากมีจุดความร้อนสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 1,166 จุด อันดับ 2 คือ จังหวัดลำปาง 838 จุด และอันดับ 3 จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 703 จุด

ล่าสุด วันนี้ (22 มกราคม 2563) ทั้ง 3 จังหวัดคุณภาพอากาศยังคงอยู่ในระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพในหลายพื้นที่ จากเว็บไซต์รายงานคุณภาพอากาศ CMUCCDC ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่ามีปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน อาทิ จังหวัดตากที่อำเภอพบพระและอำเภอแม่สอด 111.67 และ 76 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อำเภอเถินและอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง 122 และ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ค่า PM 2.5 ในอำเภอสารภีและอำเภอสันกำแพงสูงถึง 108 และ 207 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นต้น

นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงใหม่ยังคงใช้ระบบศูนย์สั่งการ Single Command ในการบริหารแบบเสร็จ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ต้องทราบสถานการณ์ทุกอย่างเพื่อการสั่งการแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงที ทั้งนี้ จะเร่งปรับการทำงานของ Single Command ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ทันสถานการณ์ ซึ่งรัฐบาลให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นควันเป็นวาระแห่งชาติ ดังนั้น ต้องติดตามการเกิดจุดความร้อนหรือ Hotspot ว่าเกิดขึ้นในเขตไหน และทุกหน่วยจะต้องฟังผู้บัญชาการเหตุการณ์ Single Command คือผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

นายสมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จุดความร้อนที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1-20 มกราคม 2563 ตรวจพบจุดความร้อนทั้งสิ้นจำนวน 703 จุด พบมากในอำเภอโซนใต้ คือ อำเภอฮอด 309 จุด ดอยเต่า 129 จุด และแม่แจ่ม 95 จุด ซึ่งพบมากในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น 665 จุด ขณะที่ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ พบจุดความร้อนระหว่างวันที่ 1-20 มกราคม 2563 พบสูงสุดที่จังหวัดตาก 1,166 จุด ลำปาง 838 จุด และเชียงใหม่ 703 จุด

สำหรับในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ค่อนข้างน่าห่วงคือ อำเภอสันกำแพง ซึ่งมีปริมาณฝุ่นควันสะสมจำนวนมากและมีค่าคุณภาพอากาศเกินค่าต่อเนื่อง โดยพบสาเหตุเกิดจากการสุมไฟไล่ยุงให้วัวนม เนื่องจากพื้นที่อำเภอสันกำแพง เป็นพื้นที่การเลี้ยงวัวนมขนาดใหญ่ โดยจะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่เร่งตรวจสอบและทำความเข้าใจกับเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวนมให้หยุดกิจวัตรดังกล่าว

พลตรี จิรเดช  กมลเพ็ชร รองแม่ทัพภาคที่ 3/รองผู้บัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและ  หมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า กล่าวว่า จุดความร้อนสะสมในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ตั้งแต่วันที่ 1-20 มกราคม 2563 มีจำนวน 3,506 จุด ซึ่งจุดความร้อนส่วนใหญ่เกิดขึ้นในป่าอนุรักษ์และป่าสงวนเป็นส่วนใหญ่ สำหรับผลการปฏิบัติงานของ 9 จังหวัด ในห้วงที่ผ่านมามุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลและชุมชนเสี่ยงรวม 9 จังหวัด 90 อำเภอ 255 ตำบล การประชาสัมพันธ์ ผ่านหอกระจายข่าว จำนวน 8,175 แห่ง การประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุชุมชน จำนวน 439 แห่ง การประชาสัมพันธ์ ผ่านเครื่องบินกระจายเสียง peacemaker จำนวน 2 ลำจากกองทัพอากาศ ในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงของ 9 จังหวัด พื้นที่ที่ปฏิบัติได้รวม 79 อำเภอ 236 ตำบล จากทั้งหมด 90 อำเภอ 255 ตำบล คิดเป็นร้อยละ 92.55

การเตรียมชุดดับไฟป่าในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้ดำเนินการจัดชุดดับไฟป่าแล้ว จำนวน 591 ชุด และทางกองทัพภาคที่ 3 ได้จัดเตรียมชุดดับไฟป่าเพื่อสนับสนุนทุกจังหวัดอีก จำนวน 194 ชุด เมื่อจังหวัดร้องขอ จัดพื้นที่ Safety Zone ใน 9 จังหวัด จำนวน 1,278 แห่ง การดำเนินคดีต่อผู้ที่กระทำความผิด ปัจจุบันมี 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลำปาง 4 คดี และจังหวัดเชียงใหม่ 1 คดี รวม 5 คดี

ทั้งนี้ การดำเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ ปี 2563 ทุกภาคส่วนจะบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกพื้นที่ได้นำประชาชนจิตอาสาพระราชทานเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาในทุกขั้นตอน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น Single Command ที่สำคัญทุกภาคส่วนต้องสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจให้เกิดความตระหนัก โดยปรับรูปแบบข้อมูลและสถานการณ์ให้เข้าใจง่ายๆ เพื่อเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน โดยไม่ให้เกิดความสับสน และดำเนินการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดความร่วมมือ ในการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีและยั่งยืนต่อไป