“ไทยเด็นตี้ฯ” รุกขยาย รง.-เพิ่มกำลังผลิต “ชูแกงปักษ์ใต้” ฮาลาลบุก “บาห์เรน-ดูไบ”

จากข้อมูลบทวิเคราะห์สถานการณ์ SMEs รายสาขา ปี 2562 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุไว้ว่า อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นสาขาการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของไทย และเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย และสร้างรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอยู่อันดับที่ 1 ในภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่า 941,693 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าจาก SMEs 312,848 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนร้อยละ 33.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมฯในสาขาอาหารและเครื่องดื่ม มีจำนวน SMEs ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 136,663 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.56 ของจำนวน SMEs ทั้งหมดของประเทศ

ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารถูกพัฒนาต่อยอดวัตถุดิบไปหลากหลายรูปแบบ ดังเช่น “วรรณา เทียมเทศ” หนึ่งในผู้ประกอบการรายใหม่ที่กำลังไต่ระดับธุรกิจด้านอาหารดันเครื่องแกงสำเร็จรูปไปสู่ตลาด ในนามของ “บริษัท ไทยเด็นตี้ อินเตอร์เทรด จำกัด”

“วรรณา” เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารว่า สมัยก่อนคุณแม่เคยทำเครื่องแกงตักขายในตลาดสด ต่อมาคุณแม่ไม่สบาย ตนเลยรับช่วงต่อและเข้ามาดูแลแทน ก่อนริเริ่มต่อยอดเครื่องแกงที่เคยทำเป็นประจำ เพราะถ้าพูดถึงเครื่องแกงรสเด็ด คงต้องนึกถึงเครื่องแกงปักษ์ใต้ที่มีความครบเครื่อง ทั้งรสชาติและความเข้มข้น ถูกปากทั้งคนไทยและต่างชาติ

ด้วยการตั้งต้นทำธุรกิจเครื่องแกงของตัวเองตั้งแต่ปี 2559 มีการจัดตั้งเป็นบริษัทในปี 2561 จนได้รับการสนับสนุนในการทำธุรกิจจากหน่วยงานของรัฐบาล และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และการตลาด สรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาทั้งหมด 6 รสชาติ กระทั่งมีมูลค่าการขายในปี 2562 กว่า5 ล้านบาท

กว่าจะประสบความสำเร็จได้โอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ในงาน THAIFEX มา 2 ปีแล้ว ทำให้มีลูกค้าต่างประเทศ ลูกค้ากลุ่มโรงแรม และร้านอาหารต่างประเทศ ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กระทั่งปัจจุบันสามารถส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศได้ เช่น ฮ่องกง มาเลเซีย แต่ยังเป็นตลาดขนาดเล็ก เนื่องจากบริษัท ไทยเด็นตี้ฯ ยังเป็นผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถรับออร์เดอร์ขนาดใหญ่ได้

อย่างไรก็ตาม อัตราการเจริญเติบโตของบริษัทอยู่ที่ 10-15% ต่อปี กำลังเติบโตไปได้ มีมูลค่าทางการตลาดปี 2561 ประมาณ 3 ล้านกว่า ปี 2562 ประมาณ 5 ล้าน แบ่งออกเป็นตลาดภายในประเทศประมาณ 70% และส่งออก 30%

“บริษัทของเรายังเป็นบริษัทขนาดเล็ก เพิ่งเปิดตัวใหม่ มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 4,200 ชิ้นต่อวัน มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 6 รสชาติ บรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่มีทั้งหมด 4 รส ได้แก่ 1) พะแนง 2) เขียวหวาน 3) แกงมัสมั่น 4) ต้มยำน้ำข้น ราคา 89 บาทต่อซอง ส่วนซองไซซ์ขนาดเล็กมีทั้งหมด 2 รส ได้แก่ 1) เครื่องผัดกะเพรา 2) เครื่องต้มยำ ราคา 35 บาทต่อซอง สินค้าที่ขายดีที่สุด คือ เครื่องต้มยำ นอกจากนี้บริษัทมีการรับจ้างผลิต (OEM) เพื่อทำตลาดส่งออกไปยังฮ่องกง

ในปี 2563 จะมีการขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิต การแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ซึ่งจะเป็นการหันกลับมาทำ “น้ำแกงปักษ์ใต้” เช่น แกงส้ม แกงเผ็ด ในส่วนตลาดส่งออกตอนนี้กำลังมองประเทศบาห์เรนและประเทศดูไบ เนื่องจากสินค้าเป็นฮาลาลสามารถส่งออกได้ง่าย และถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการสูง โดยกลยุทธ์ทางการตลาด ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า มีจุดเด่นและอัตลักษณ์ที่นำไปโปรโมตให้คนรู้จักได้”

“วรรณา” บอกว่า จุดเด่นของเราคือไม่ใส่สารกันบูดและไม่ใส่ผงชูรส ใช้น้ำกะทิสด ๆ รวมถึงรสชาติยังคงดั้งเดิมคือรสชาติภาคใต้โดยแท้ มีความเข้มข้น จัดจ้าน แต่ลดความเผ็ดลงมาให้ทุกคนทานได้ง่ายขึ้น สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค สำหรับวัตถุถิบส่วนใหญ่รับซื้อจาก จ.สงขลา จ.ปัตตานี จ.นครศรีธรรมราช และเขตชุมชนใกล้เคียงกับบริษัท

ปัจจุบันการวางจำหน่ายสินค้าแบ่งออกเป็นหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มสินค้าในเมืองร้านค้าของฝาก คือ จ.ภูเก็ต จ.เชียงใหม่ เมืองพัทยา เกาะลันตา และเกาะสมุย 2) โมเดิร์นเทรด ที่วิลล่ามาร์เก็ต และในอนาคตมีแผนจะวางขายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ท็อปส์ มาร์เก็ต, โกลเด้นเพลส นอกจากนี้ยังมีช่องทางการขายออนไลน์และตัวแทนจำหน่าย