การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ผ่านมา รัฐบาลมุ่งขับเคลื่อนผ่านกลไกโครงการ “สานพลังประชารัฐ” หลังสถานการณ์โควิด-19 การสานพลังประชารัฐของจังหวัดเชียงใหม่เร่งเดินหน้า โดยเฉพาะภาคการเกษตร ที่ตั้งธงทำเกษตรอินทรีย์ มุ่งสู่ Eco City จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความมั่นคงและยั่งยืน
นายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า รายได้หลักของจังหวัดเชียงใหม่ สัดส่วน 70% มาจากภาคการท่องเที่ยวและบริการ อีก 20% เป็นรายได้จากภาคอุตสาหกรรม และ 10% มาจากภาคการเกษตร ซึ่งเหลืออีกเพียง 3 เดือนจะหมดงบประมาณปี 2563 โครงการสานพลังประชารัฐของจังหวัดเชียงใหม่จะต้องเดินหน้าให้มีความต่อเนื่อง แต่จะทำโครงการอะไรต้องเร่งคิด เพื่อฟื้นเศรษฐกิจฐานรากให้ได้โดยเร็ว เช่น การรณรงค์เรื่องผ้าไทย ซึ่งเชียงใหม่มีกลุ่มผู้ผลิตผ้าพื้นเมืองอยู่จำนวนมาก โดยแผนงานเร่งด่วนในการขับเคลื่อนภายใต้ 3 กลุ่มงานได้แก่ เกษตร เกษตรแปรรูป และท่องเที่ยวชุมชน เชื่อมโยงกับบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีเชียงใหม่ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัดได้แก่ กลุ่มอาหารปลอดภัย 11 กลุ่ม และกลุ่มเกษตรอินทรีย์ 10 กลุ่ม เช่น ลำไยอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์ กระเทียมอินทรีย์ เป็นต้น
ดันเกษตรอินทรีย์-Eco City
นายณรงค์ ตนานุวัฒน์ คณะทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐจังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจำจังหวัด (คสป.) กล่าวว่า ภาคเกษตรของเชียงใหม่ถือเป็นธุรกิจดาวรุ่งและมีศักยภาพสูง ภาพรวมรายได้ภาคเกษตร 45,000 ล้านบาท/ปี โดยมีพื้นที่เกษตร 812,566 ไร่ แบ่งเป็น ปลูกข้าว 515,786 ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 148,978 ไร่ลิ้นจี่ 56,451 ไร่ มะม่วง 55,361 ไร่ ลำไย 31,424 ไร่ และกระเทียม 25,104 ไร่ เป็นต้น ในระยะยาวเชียงใหม่จำเป็นต้องสร้างเกษตรนิเวศและระบบอาหารที่ยั่งยืน ชูความเป็นเกษตรอินทรีย์ มุ่งสู่เมือง Eco City เป็นการยกระดับฐานการผลิตและเพิ่มมูลค่า จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทั่วโลกในอนาคต
ทั้งนี้ ในภาคเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น 5 ด้าน คือ 1.สังคมผู้สูงอายุ 2.การย้ายถิ่นสู่เมือง 3.การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 4.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 5.การกีดกันทางการค้า ซึ่งเกิดผลกระทบในหลายด้าน อาทิ ด้านความต้องการอาหารที่มีมาตรฐาน ปลอดภัยและอาหารเพื่อสุขภาพ ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน การบริหารจัดการฟาร์ม และการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น ด้านการตลาด มีความต้องการสินค้าคุณภาพสูงการกีดกันทางการค้า และกฎระเบียบโลก สถานการณ์โควิด-19 ถือเป็นตัวเร่งในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรต้องเร่งปรับโครงสร้าง คือ มีกระบวนการผลิตแบบใหม่ ผลิตอาหารเฉพาะ เช่น functional food/vitamin ซึ่งภาคการผลิตต้องปรับสู่ modern farm, smart farmer และสหกรณ์ต้องเข้มแข็งผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานระหว่างประเทศ ตรงตามความต้องการของลูกค้า และการรักษาสิ่งแวดล้อม
นายณรงค์กล่าวต่อไปว่า นอกจากลำไยที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลัก กาแฟ อโวคาโด และโกโก้ เป็นพืชดาวเด่นที่ต้องเร่งส่งเสริมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เช่น อโวคาโดขายได้ทั้งผลสด และแปรรูปเป็นน้ำมันอโวคาโด ตลาดมีความต้องการสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ไต้หวัน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เป็นต้น
“เชียงใหม่มี model avocado โดยมีเด็กรุ่นใหม่ปลูกอโวคาโดบนพื้นที่ 10 ไร่ใน อ.กัลยาณิวัฒนา นำผลผลิตมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพื่อส่งออก สร้างรายได้หลักล้านบาทต่อปี มี key success คือ ปลูกพืชมูลค่าสูง แปรรูปเพิ่มมูลค่า และสร้างเครือข่ายสนับสนุนชาวบ้านให้ปลูกอโวคาโด”
ประชารัฐฯซื้อลำไย-ชูผ้าแม่แจ่ม
นายณรงค์ คองประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีเชียงใหม่ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเร่งเดินหน้า 3 แผนงานหลัก คือ 1.ด้านการเกษตรมุ่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไย มะม่วง และกระเทียม ที่ประสบปัญหาด้านราคาและการตลาด โดยเฉพาะลำไยที่กำลังออกผลผลิตในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ได้เตรียมงบประมาณไว้ 2 ล้านบาท เพื่อรับซื้อลำไยจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเขตพื้นที่ อ.จอมทอง และ อ.แม่วาง คาดว่าจะสามารถรับซื้อผลผลิตลำไยได้ราว 300-400 กิโลกรัมต่อครอบครัว ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
โดยบริษัทจะบริหารจัดการผลผลิตและทำตลาดลำไยเอง เน้นการทำตลาดออนไลน์เป็นหลัก กระจายผลผลิตไปยังผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งบริษัทมีเน็ตเวิร์กกลุ่มนักธุรกิจในกรุงเทพฯค่อนข้างกว้างและเข้มแข็ง ขณะเดียวกันได้ติดต่อกลุ่มธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่พร้อมรับซื้อผลผลิตปีนี้ด้วย ส่วนแผนงานที่ 2 คือ จะนำผ้าทอ-ผ้าตีนจกแม่แจ่ม ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมที่ประณีต สวยงาม และเป็นเอกลักษณ์ของ อ.แม่แจ่ม บุกขายตลาดออนไลน์ โดยยกระดับเพิ่มมูลค่าสู่ตลาดบนและแผนงานที่ 3 คือ ด้านการท่องเที่ยว จะทำโครงการร่วมกับ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ ศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงกับหมู่บ้านท่องเที่ยวเปิดเส้นทางท่องเที่ยวจาริกแสวงบุญ “ตามรอยหลวงปู่มั่น” ในเส้นทางวัดเจดีย์หลวง อำเภอพร้าว และอำเภอเชียงดาว ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563
ทั้งนี้ บริษัท ประชารัฐฯเชียงใหม่ มีทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท ช่วงระยะ 3 ปีของการดำเนินงานมีโครงการต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนฐานราก ทั้งการส่งเสริมเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ในหลายอำเภอ ขณะเดียวกัน ผลงานที่ผ่านมา คือ การผลักดันให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ต.ขัวมุง อ.สารภี ประกอบด้วย เกษตรกร 137 ครัวเรือน จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนภายใต้ชื่อ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปลงใหญ่ตำบลขัวมุง” ให้สามารถทำการซื้อขายผลผลิตด้วยตัวเองครบวงจรได้เป็นครั้งแรก
โดยบริษัทเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงนำผลผลิตส่งจำหน่ายให้กับพันธมิตรรายแรกคือ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต) โดยวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้กำหนดราคาเอง
สำหรับผลผลิตลำไยในปี 2563 ทางวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปลงใหญ่จะดำเนินการบริหารจัดการซื้อขายเองให้กับท็อปส์ฯ และตลาดอื่น ๆ นับเป็นแนวทางการค้าขายโดยตรงกับผู้ซื้อ โดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัทประชารัฐรักสามัคคี คือ สร้างรายได้ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
นายณรงค์กล่าวด้วยว่า การปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากดำเนินงานในรูปนิติบุคคล บริหารงานแบบเอกชน ตลอดระยะเวลา 3 ปี ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนฐานรากในเชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการขับเคลื่อนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากทรัพยากรทั้งด้านเงินทุนและบุคลากรมีไม่มากนัก ซึ่งที่ผ่านมาขาดความต่อเนื่องในการสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาล จึงทำให้นโยบายเปลี่ยนและไม่มีความต่อเนื่อง แต่หากรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง อาจจะด้านงบประมาณหรือการตลาด จะทำให้การทำงานเดินไปได้เร็วขึ้น”
นโยบายสานพลังประชารัฐของจังหวัดเชียงใหม่ ยังคงเร่งสปีดขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเป้าหมายให้ชุมชนมีรายได้และมีเศรษฐกิจที่ดีและยั่งยืน นับเป็นงานที่ท้าทายไม่น้อย ภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ยังไม่อาจวางใจ
ประชาชาติธุรกิจ นำเสนอซีรีส์ “รวมพลังสู้ โควิด-19” ภายใต้เนื้อหาที่มาจากประชาชน นักคิด นักเขียน ผู้รู้ นักธุรกิจ สตาร์ตอัพ ผู้ประกอบการทุกระดับ ที่นำเสนอแนวคิด ความรู้ และทางออกจากปัญหาไปด้วยกัน