อินเดีย เล็งเชื่อมการค้า-ท่องเที่ยวไทย หลังพ้นวิกฤตโควิด

อินเดีย เล็งเชื่อมการค้า-ท่องเที่ยวไทย หลังพ้นวิกฤตโควิด หอการค้าเชียงใหม่ดันลงนามบ้านเมืองพี่เมืองน้อง 3 เมืองหลัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทยได้จัดงานสัมมนา “โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย และอัศจรรย์การท่องเที่ยวอินเดีย” โดยมีนายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน ผู้ประกอบการค้า ผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมรับฟัง ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน เชียงใหม่

นางอัลปานา ดูเบ อุปทูต ณ สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า อินเดียและไทยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและแข็งแกร่ง ปีนี้นับเป็นปีที่ 73 ที่ทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน มีความใกล้ชิดกันทั้งทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมมายาวนาน

อุปทูตอัลปานา ระบุว่า อินเดียมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนมากในการที่จะเชื่อมโยงกับประเทศไทย โดยไทยถือเป็นหุ้นส่วนของอินเดียทั้งทางด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจการค้าและวัฒนธรรม นอกจากนี้ อินเดียได้ผลักดันสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคระหว่างอินเดียกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการนำภาคเอกชนอินเดียให้มาลงทุนในไทย

ขณะเดียวกัน อินเดียได้วางแนวการพัฒนาประเทศที่สำคัญ โดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาและการแสวงบุญ ซึ่งนักลงทุนและนักธุรกิจของไทยมีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนและเชื่อมโยงทางธุรกิจกับอินเดีย ทั้งนี้ หลังสถานการณ์โควิด คาดว่าจะเกิดโอกาสการลงทุนระหว่างไทยและอินเดียมากขึ้น

นายวโรดม ปิฎกานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า อินเดียเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาค จากการที่เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 4 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น มีขนาดกองทัพเป็นอันดับที่ 4 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย มีประชากร 1.35 พันล้านคน เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน ย่อมมีผลต่อการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ของไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ถือว่าผูกพันและมีความแน่นแฟ้นกับชาวไทยเชื้อสายอินเดียมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะที่ชุมชนท่าวัดเกต เป็นชุมชนโบราณตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันออก เป็นย่านเศรษฐกิจของการขนส่งทางน้ำที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ในอดีต ซึ่งมีชาวอินเดียและชาวซิกข์จากแคว้นปัญจาบย้ายถิ่นฐานมาอยู่จำนวนมาก และมีประวัติศาสตร์ของการสร้างเศรษฐกิจในเชียงใหม่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดและมีคนไทยเชื้อสายอินเดียหลายตระกูลในปัจจุบัน

อนาคตด้านความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างไทย-อินเดียหลังสถานการณ์โควิด หอการค้าฯ เชียงใหม่เชื่อมั่นว่ามีหลายภาคธุรกิจที่อินเดียน่าจะมีความสนใจและสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของไทย อาทิ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร เนื่องจากเป็นสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ สอดคล้องกับความต้องการของอินเดีย ที่มุ่งหวังที่จะบรรลุเป้าหมายการเพิ่มความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ และนโยบายที่อินเดียมีอยู่ เช่น การก่อตั้ง Food Park ที่อาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

นายวโรดม กล่าวต่อว่า ประเทศอินเดียอยู่ในแผนงานที่หอการค้าฯ เชียงใหม่จะได้ผลักดันการเชื่อมโยงเศรษฐกิจผ่านกลไกของบ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) กับสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งจะผลักดันให้มีการลงนามสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องของจังหวัดเชียงใหม่กับรัฐที่เป็นเป้าหมายและมีศักยภาพเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างกันได้คือ

1.รัฐอัสสัม อาทิ การศึกษา วัฒนธรรม การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ฯลฯ 2. เมือง “กัลกัตตา” (Kolkata) เป็นเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตก (West Bengal) เป็นมหานครขนาดใหญ่อันดับ 3 ของอินเดีย มีประชากรมากถึง 45 ล้านคน คนไทยส่วนใหญ่คงจะรู้จักกันดีในฐานะเมืองสำหรับผู้แสวงบุญ ที่มักจะเดินทางมาขึ้นรถไฟหรือรถประจำทางเพื่อเดินทางต่อไปยังพุทธคยา รวมถึงสังเวชนียสถานอื่น ๆ ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เป็นเมืองที่มีความโดดเด่นด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ ได้แก่ เนปาล ภูฏาน และบังกลาเทศ ได้ด้วย สามารถเดินทางถึงประเทศไทยได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง 30 นาที

3.เมืองบังกาลอร์ เมืองหลวงของ รัฐกรณาฏกะ (Karnataka) รัฐที่ดึงดูดนักลงทุนมากที่สุด เป็นศูนย์กลางแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และนวัตกรรมของอินเดีย มีบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกว่า 3,500 บริษัท ครอบคลุมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ สตาร์ทอัพ อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยา รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน เป็นต้น

สำหรับด้านการท่องเที่ยว หอการค้าฯ เชียงใหม่มองว่าอินเดียคือกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่สามารถฟื้นกลับมาได้หากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เพราะสถิติในปี 2562 นักท่องเที่ยวอินเดียเลือกนิยมเที่ยวกรุงเทพฯ พัทยา และมีแนวโน้มที่จะเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่เพิ่มมากขึ้น เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย ด้านกิจกรรมใหม่ที่ได้รับความสนใจมากขึ้น คือ กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน คิดเป็น 85% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennial อายุ 25-35 ปี กลุ่มแต่งงาน กลุ่มถ่ายทำภาพยนตร์ กลุ่มเดินทางเพื่อการประชุมและท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล รวมถึงกลุ่มฮันนีมูนอีกด้วย

ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่เราจะต้องเตรียมพร้อม รวมถึงการผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยเชียงใหม่จะชูจุดเด่นด้านการเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ หรือ medical-wellness tourism เนื่องจากเชียงใหม่มีเทคโนโลยีแพทย์เฉพาะทางเฉพาะด้านที่มีชื่อเสียง และมีโรงพยาบาลระดับมาตรฐานในระดับนานาชาติ จึงเชื่อมั่นว่าความร่วมมือทางด้านธุรกิจระหว่างไทยและอินเดียจะเป็นรูปธรรมและมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป