พิสูจน์ แซ่คู ชี้พัทยาวูบ 2.7 แสนล้าน จี้รัฐเจาะประเทศเสี่ยง

พิสูจน์ แซ่คู นายกสมาคมโรงแรมภาคตะวันออก
สัมภาษณ์

การที่หลายประเทศทั่วโลกยังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในอัตราที่สูง ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากหลายแห่งล้วนพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเช่น “เมืองพัทยา” จังหวัดชลบุรี การจะประคับประคองธุรกิจท่องเที่ยวให้อยู่รอดได้ยามนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์ “พิสูจน์ แซ่คู” นายกสมาคมโรงแรมภาคตะวันออก ถึงสถานการณ์ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมในเมืองพัทยา

ธุรกิจ SMEs ตาย-ฟื้นยาก

“พิสูจน์” เล่าว่า สถานการณ์ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ตอนนี้กำลังแย่ ยังไม่ดีขึ้น ปัจจุบันมีโรงแรมที่เปิดให้บริการ 60% และปิดให้บริการ 40% โดยที่เปิดให้บริการส่วนใหญ่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ อัตราเฉลี่ยการเข้าพักเพียง 30-40% ธุรกิจในเมืองพัทยาที่ผ่านมาอยู่ได้ เพราะอาศัยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 80% และชาวไทย 20% ดังนั้นโรงแรมที่เปิดให้บริการตอนนี้น่าจะขาดทุนกันเกือบทั้งหมด ที่น่าเป็นห่วงมากสุดคือผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังจะตายกันหมด และคาดว่าถ้าตายแล้วไม่น่าจะฟื้น เช่น ธุรกิจร้านนวด ธุรกิจเรือ ธุรกิจรถสองแถว ร้านกิฟต์ช็อป ร้านเสื้อผ้าตามชายหาด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ที่ผ่านมาธุรกิจในเมืองพัทยาอยู่ได้เพราะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 80% และตอนนี้หายไปหมด หากเทียบกับช่วงปลายปี 2562 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในเมืองพัทยาไม่ต่ำกว่า 200,000-300,000 คน ดังนั้นรายได้รวมจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเมืองพัทยาประมาณ 2.7 แสนล้านบาท ถือเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยคงหายไป เพราะรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยชดเชยกันได้น้อยมาก และปลายปีนี้คาดว่ายังไม่น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากนัก

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับสมาคมต่าง ๆ และผู้ประกอบการภาคเอกชนกันบ่อย ว่าจะมีการจัดทำแพ็กเกจให้กลุ่มศึกษาดูงานของหน่วยงานราชการ เป็นการเสนอให้มาศึกษาดูงานในเมืองพัทยาที่เป็นเขตปกครองพิเศษ ตอนนี้ต้องหากิจกรรมมาเป็นตัวดึงดูด เพราะว่านักท่องเที่ยวชาวไทยมาได้แค่วันหยุดสุดสัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาเราลองมาทุกวิธีแล้ว

ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นช่วงลองวีกเอนด์วันหยุดยาวก็ยังได้ผล แต่ตอนนี้เริ่มแผ่วลง เพราะว่าทุก ๆ เดือนมีลองวีกเอนด์ ต้องยอมรับว่าปกติทั่วไปคนไทยไม่ได้เที่ยวกันทุกเดือน โดยช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาก็ไม่แรง เพราะคิดว่าคนรอเที่ยวปลายปีมากกว่า

“สิ่งที่ทำได้คือประคองให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไปได้ ต้องอยู่กันให้รอด และโรงแรมที่เปิดให้บริการน่าจะขาดทุนกันเกือบทั้งหมด ที่น่าเป็นห่วงมากสุดคือผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังจะตายกันหมด และคาดว่าถ้าตายแล้วไม่น่าจะฟื้น เช่น ธุรกิจร้านนวด ธุรกิจเรือ ธุรกิจรถสองแถว ร้านกิฟต์ช็อป ร้านเสื้อผ้าตามชายหาด ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และที่ผ่านมาธุรกิจในเมืองพัทยาอยู่ได้เพราะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 80% และตอนนี้หายไปหมด”

ชงรัฐเลือกต่างชาติรายเมือง

คิดว่าปีหน้าสถานกาณ์ก็น่าจะยังไม่ดีขึ้น เราได้มีการประชุมร่วมกับสมาคมต่าง ๆ อยู่ตลอด อาทิ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว, สมาคมสปาพัทยา, สมาคมวอล์กกิ้งสตรีต และการท่องเที่ยวเมืองพัทยา, สมาคมแหล่งท่องเที่ยวชลบุรี ฯลฯ รวมถึงมีการหารือกับนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ

ตอนนี้กำลังรอดูนโยบายของรัฐบาลและแนวทางปฏิบัติในการจะนำนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา คงต้องรอดูสถานการณ์สิ้นปีนี้ ถ้าหากยังมีการกักตัว 14 วันอยู่ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาคงเป็นไปได้ยาก ก่อนหน้านี้เคยคุยกับทัวร์รัสเซียที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศและยอมกักตัว 14 วัน ตอนแรกก็มีความเป็นไปได้ แต่ตอนหลังพอประสานไปทางรัสเซียก็ให้เหตุผลว่า นักท่องเที่ยวรัสเซียเข้าไปในประเทศตุรกีไม่ต้องกักตัว จึงเลือกที่จะไปท่องเที่ยวในตุรกีมากกว่า

ทางประเทศไทยพยายามจะลดการกักตัวจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน ซึ่งประเทศอื่น ๆ เริ่มผ่อนปรน และหากไทยยังมีการกักตัวอยู่ก็ลำบากในเรื่องของการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามก็ต้องดูเรื่องของการแพทย์ ทั้งการตรวจหาเชื้อโควิด และระยะเวลาการเพาะเชื้อ แต่ยอมรับว่า ถ้าหากมีการแพร่ระบาดรอบ 2 อีกก็คงแย่กว่านี้ เราก็มองประเมินเรื่องความเสียหาย แต่ถ้าไม่เสียอะไรเลยในเรื่องเศรษฐกิจก็ลำบาก

“มีนักท่องเที่ยวพร้อมจะเข้ามาในประเทศไทย เราเคยถามทางภาครัฐว่าไม่ต้องกำหนดกลุ่มเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ำได้หรือไม่ ถ้าใครพร้อมเข้ามาทำตามเงื่อนไขกักตัว 14 วัน ก็สามารถเข้ามาได้เลย ซึ่งอยากให้มีการพิจารณาเป็นมณฑลหรือรัฐ เช่น อำเภอคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ

แต่ถ้าพิจารณาถึงประเทศอินเดียที่การแพร่ระบาดสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก คืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะนำนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเข้ามาประเทศไทยได้ และแน่นอนว่าประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำมีการควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี

ชาวต่างชาติหลายคนก็อยากเดินทางเข้ามาพักผ่อน เพราะรู้สึกปลอดภัย เรามีโอกาสได้พบกับเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หนึ่งในคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “ศบค. ชุดเล็ก” ค่อนข้างเห็นด้วย แต่ต้องไปประสานงานกับในหลาย ๆ ส่วนก่อน”

ดัน สธ.เร่งตรวจ รร. ALQ

เมืองพัทยามีโรงแรมที่ใช้เป็นพื้นที่ในการกักตัว Alternative Local Quarantine (ALQ) 14 วัน ที่ผ่านการประเมินแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ 1.Best Bella Pattaya 2.Hotel J Residence Pattaya และ 3.อวานี พัทยา รอการประเมินอีก 11-12 แห่ง ซึ่งคาดว่ามีโรงแรมที่สนใจจะเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง ส่วนโรงพยาบาลที่รองรับมีประมาณ 6 แห่ง

ถ้าต่างชาติอยากจะเข้าพักในพัทยาก็ได้ แต่การตรวจ ALQ ค่อนข้างช้าและขั้นตอนค่อนข้างมาก ที่ผ่านมามีการพูดคุยกับทางนายกเมืองพัทยา ถ้าต้องการจะทำ “พัทยาโมเดล หรือชลบุรีโมเดล” เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือต้องเร่งตรวจโรงแรม ALQ ให้เร็วที่สุด ถ้าต้องการรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งเรามองพัทยาน่าจะเป็นสถานที่เหมาะกับการกักตัวเพราะว่ามีลักษณะรีสอร์ต มีทะเล มีสวน

หนุนรัฐจ้างพนักงานในระบบ

สิ่งที่อยากจะฝากไปถึงรัฐบาลให้ดำเนินมาตรการ Co-Payment ที่เคยเสนอไปแล้ว คือการจ่ายเงินเดือนพนักงาน ให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนโดยจ่ายครึ่งหนึ่ง ผู้ประกอบการจ่ายครึ่งหนึ่ง ซึ่งต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการอยากเก็บพนักงานที่มีความชำนาญ มีประสบการณ์ในการทำงานมาหลายปี เราก็ไม่อยากให้พนักงานตกงาน

ตอนนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวทุกวันเหมือนเดิม ดังนั้นพนักงานก็ไม่ได้ทำงานทุกวัน ส่วนมากคือ 1 เดือน ทำงาน 15 วัน ต้องบอกว่า ในภาวะปกติจ่ายเงินเดือนเต็ม พนักงานก็อยู่กันไม่ไหว ซึ่งได้มีการเสนอไปว่า แทนที่จะปล่อยให้คนกลุ่มนี้ตกงาน เพื่อเข้ารับเงินในระบบประกันสังคม 62% ถ้ารัฐและผู้ประกอบการช่วยกันคนละครึ่ง อย่างที่มีมาตรการจ้างเด็กจบใหม่ คงจะดี

“เด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ ทางผู้ประกอบการก็ไม่อยากจะรับ ถ้าเทียบกับพนักงานในโรงแรมคือฝึกกันมานาน ทั้งเรื่องของภาษาและทักษะในการบริการ เราไม่อยากเสียพวกเขาไป แต่ตอนนี้ถ้ารัฐไม่ช่วย ผู้ประกอบการก็สู้ไม่ไหว ต้องให้พนักงานลาออกไป ถ้ารัฐช่วยเหมือนเด็กจบใหม่ คนที่อยู่ในระบบประกันสังคม จะช่วยในการชะลอการตกงาน ชะลอการว่างงานของคนในภาคธุรกิจท่องเที่ยว”