“ตั้งงี่สุนพร้อมลุยแหลกทุกสถานการณ์ ต้องขยันขึ้น ต้องไวขึ้น และต้องดีขึ้น ถึงจะกลัวโควิดแต่ก็ต้องเดินหน้าไปให้ได้”
นี่คือปณิธานอันแน่วแน่ของ “มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์” ผู้บริหารตั้งงี่สุน จังหวัดอุดรธานี ที่ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ” พร้อมเผยผลประกอบการในปีที่ผ่านมาว่า เป็นวิกฤตที่สามารถปรับให้เป็นโอกาสได้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
“มิลินทร์” เล่าว่า เมื่อปี 2562 ผลประกอบการของตั้งงี่สุนปิดตัวเลขอยู่ที่ 3,300 ล้านบาท มาถึงปี 2563 ตัวเลขผลประกอบการเบื้องต้นขยับขึ้นอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท เรียกได้ว่าไต่ระดับขึ้นมาจนถึงเกือบ 4,000 ล้านบาท จากที่เคยทำไว้ได้เมื่อหลายปีก่อน
โดยได้รับความร่วมมือจากซัพพลายเออร์หลายบริษัทเข้ามาช่วย ทำให้ตั้งงี่สุนเดินหน้าต่อได้ อย่างบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด สามารถปิดยอดขายได้ถึง 700-800 ล้านบาท บริษัทยูนิลีเวอร์ในประเทศไทยปิดยอดที่ 300-400 ล้านบาท ตามมาด้วยบริษัทอื่น ๆ อีกหลายบริษัทที่ต่างเดินหน้าและเติบโตขึ้นไปด้วยกันในช่วงวิกฤต
“ถ้าซัพพลายเออร์ให้โอกาส เราตั้งงี่สุ่นก็พร้อมทำเต็มที่ ถ้าตัวเลขเดือนนี้ไม่ได้ เดือนต่อไปก็ต้องได้ ฉะนั้นต้องทำต่อและหนีไม่ได้ ถือว่าในปี 2563 เป็นปีที่ตั้งงี่สุนตั้งวิกฤตให้เป็นโอกาสอีกหนึ่งปีเลย ลูกค้ามีอยู่ทุกกลุ่มคนทุกอาชีพ
และด้วยการเป็นหนึ่งในแหล่งขายสินค้าอุปโภคและบริโภคในท้องถิ่นที่ราคาไม่แพง แม้บางอย่างเราไม่ได้ขายถูกกว่าเจ้าใหญ่ แต่มีของแถม มีโปรโมชั่นหลายอย่างที่ดีกว่า คำว่าราคาคือเรื่องของความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้รับ ฉะนั้นอัตราการเติบโตน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 20%”
สำหรับในปี 2564 บรรยากาศธุรกิจการค้าปลีก-ค้าส่งใน 3 เดือนแรกของปีเดินหน้าด้วยสถานการณ์ที่ดีมาตลอด โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐถือว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดภาพการจับจ่ายใช้สอยได้ดี
ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง ตลอดจนโครงการเราชนะ และเรารักกัน ซึ่งทำให้การซื้อขายเกิดความคึกคักและสนุกมากเห็นภาพการซื้อของมากมาย
ไม่ใช่เพียงจังหวัดอุดรธานีแต่ทั่วประเทศไทย เป็นการกระตุ้นตลาดอย่างแรงจนสัมผัสได้แต่พอเงินเริ่มหมดโครงการของภาครัฐบวกกับคลัสเตอร์การระบาดของโควิด-19 รอบที่ 3 ปะทุขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็กลายเป็นกราฟดิ่งหัวปักลงพื้นทันที
“มิลินทร์” บอกว่า เหตุการณ์คลัสเตอร์ทองหล่อทำให้ภาพการซื้อขายสินค้าเบาบางลงพอสมควร ลูกค้าของตั้งงี่สุนหายไปทันทีกว่า 30% ทำให้ในปีนี้ไม่สามารถคาดเดาหรือตั้งเป้ากับตัวเลขผลประกอบการได้เลย เนื่องจากสถานการณ์แตกต่างจากการระบาดของโควิด-19 ในทุกรอบที่ผ่านมา
เรียกว่าคลัสเตอร์ทองหล่อเป็นการระบาดของโควิด-19 ที่สร้างความกลัวให้ผู้คนมาก เพราะดูเชื้อรุนแรงกว่าทุกรอบที่ผ่านมา และขยายวงกว้างกระจายตัวไปทั่ว โผล่ทุกภูมิภาคทุกอาชีพจำนวนมาก แถมยังควบคุมไม่ได้อีก
แม้จะเป็นช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วที่เกิดขึ้นในสนามมวยแต่การควบคุมแตกต่างกัน อันที่จริงทุกฝ่ายมีระบบการจัดการที่ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการเดินหน้าของระบบเศรษฐกิจ อย่างมีคนติดในห้างชั้นไหนก็ปิดชั้นนั้น
ไม่ได้หยุดชะงักทั้งห้าง กระทรวงสาธารณสุขเริ่มมองเห็นทิศทางการทำงานดีขึ้น รู้ว่าควรทำอย่างไร ควรผ่อนปรนจุดไหน ซึ่งถือว่าระบบการจัดการดีมาก
ปัจจุบันแม้ไม่มีการล็อกดาวน์พื้นที่ แต่มีการควบคุมพื้นที่สูงสุดแตกต่างกันไป แต่ทุกภาคส่วนทุกธุรกิจก็ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะมีการควบคุมการซื้อขายต่าง ๆ ร้านอาหาร ร้านขายของปิดตัว
ธุรกิจการค้าบางจังหวัดก็ไม่สามารถข้ามจังหวัดกันได้แล้ว อีกทั้งผู้คนมีความรู้มีความกลัวกักตัวกันอยู่ในบ้านมากขึ้น ถึงรัฐบาลไม่ได้ล็อกดาวน์ควบคุมพื้นที่ 100% แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคลัสเตอร์ครั้งนี้ใหญ่เกิน บรรยากาศจึงไม่ต่างกัน
“สำหรับภาพรวมของจังหวัดอุดรธานีขณะนี้ธุรกิจซื้อขายสินค้ายังพอไปได้แต่ก็ซบเซาลง ต้องจับตาดูสถานการณ์เดือนต่อเดือน และตั้งงี่สุนเองก็ต้องสู้อย่างสุดกำลังกันต่อไปในธุรกิจการค้าร่วมกับพนักงาน 400-500 คน ด้วยเหตุและผลหลายอย่างรอบตัว
ตอนนี้คาดหวังว่าเรื่องวัคซีนจะมาและทำให้มันจบ อยากให้รัฐบาลเร่งจัดการเรื่องวัคซีนให้เร็วที่สุดตามที่หลายองค์กรออกมาเรียกร้อง
และอยากให้ภาครัฐเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยก่อนเป็นอันดับแรก เพราะผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยจะเป็นฐานสำคัญที่จะหนุนธุรกิจใหญ่ให้ไปต่อและสามารถเติบโตได้”
“มิลินทร์” ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เวลาล่วงมาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว การระบาดของโควิด-19 ไม่รู้ว่าสถานการณ์ล่วงเลยมาถึงจุดที่มีคนเสียชีวิตรายวันได้อย่างไร อยากให้นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยและแสดงความเป็นผู้นำที่ดีกว่าในปัจจุบัน
อยากให้มีระบบสั่งการถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อจัดการกับสถนการณ์อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งแรกที่เกิดการระบาด หรืออย่างน้อยเปิดให้ฉีดวัคซีนได้มากขึ้น เชื่อว่าหลายคนยอมจ่ายเงินแน่นอน หากมีทางเลือกที่มากขึ้น
นอกจากนี้อยากให้ภูเก็ตโมเดลเกิดขึ้นได้จริง ฟังดูอาจจะเห็นแก่ตัว เพราะไปสนับสนุน แต่คิดว่าแหล่งท่องเที่ยวจะเป็นตัวดึงดูดเงินและฟื้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุดในเวลานี้
เพราะมีเศรษฐีที่พร้อมจ่ายมากมาย มุมนี้น่าจะกลับมาเร็วและเป็นจุดที่น่าสนใจมาก โดยเงินจะกลับเข้ามาที่ภาคเอกชนก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นทุกอย่างจะมีแรงหมุนกระตุ้นต่อไป
เนื่องจากการท่องเที่ยวถือเป็นทรัพยากรที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ก็ต้องลุ้นกันว่าจะเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าหากมีมาตรการที่ดี ทุกอย่างจะสามารถเกิดขึ้นได้