“ตั้งงี่สุน” อุดรโตสวนกระแส ธุรกิจค้าส่ง-ปลีกพุ่งเฉียด 4 พันล้าน

“ตั้งงี่สุนพร้อมลุยแหลกทุกสถานการณ์ ต้องขยันขึ้น ต้องไวขึ้น และต้องดีขึ้น ถึงจะกลัวโควิดแต่ก็ต้องเดินหน้าไปให้ได้”

นี่คือปณิธานอันแน่วแน่ของ “มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์” ผู้บริหารตั้งงี่สุน จังหวัดอุดรธานี ที่ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ” พร้อมเผยผลประกอบการในปีที่ผ่านมาว่า เป็นวิกฤตที่สามารถปรับให้เป็นโอกาสได้

“มิลินทร์” เล่าว่า เมื่อปี 2562 ผลประกอบการของตั้งงี่สุนปิดตัวเลขอยู่ที่ 3,300 ล้านบาท มาถึงปี 2563 ตัวเลขผลประกอบการเบื้องต้นขยับขึ้นอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท เรียกได้ว่าไต่ระดับขึ้นมาจนถึงเกือบ 4,000 ล้านบาท จากที่เคยทำไว้ได้เมื่อหลายปีก่อน

โดยได้รับความร่วมมือจากซัพพลายเออร์หลายบริษัทเข้ามาช่วย ทำให้ตั้งงี่สุนเดินหน้าต่อได้ อย่างบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด สามารถปิดยอดขายได้ถึง 700-800 ล้านบาท บริษัทยูนิลีเวอร์ในประเทศไทยปิดยอดที่ 300-400 ล้านบาท ตามมาด้วยบริษัทอื่น ๆ อีกหลายบริษัทที่ต่างเดินหน้าและเติบโตขึ้นไปด้วยกันในช่วงวิกฤต

“ถ้าซัพพลายเออร์ให้โอกาส เราตั้งงี่สุ่นก็พร้อมทำเต็มที่ ถ้าตัวเลขเดือนนี้ไม่ได้ เดือนต่อไปก็ต้องได้ ฉะนั้นต้องทำต่อและหนีไม่ได้ ถือว่าในปี 2563 เป็นปีที่ตั้งงี่สุนตั้งวิกฤตให้เป็นโอกาสอีกหนึ่งปีเลย ลูกค้ามีอยู่ทุกกลุ่มคนทุกอาชีพ

และด้วยการเป็นหนึ่งในแหล่งขายสินค้าอุปโภคและบริโภคในท้องถิ่นที่ราคาไม่แพง แม้บางอย่างเราไม่ได้ขายถูกกว่าเจ้าใหญ่ แต่มีของแถม มีโปรโมชั่นหลายอย่างที่ดีกว่า คำว่าราคาคือเรื่องของความคุ้มค่าที่ลูกค้าจะได้รับ ฉะนั้นอัตราการเติบโตน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 20%”

สำหรับในปี 2564 บรรยากาศธุรกิจการค้าปลีก-ค้าส่งใน 3 เดือนแรกของปีเดินหน้าด้วยสถานการณ์ที่ดีมาตลอด โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐถือว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดภาพการจับจ่ายใช้สอยได้ดี

ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง ตลอดจนโครงการเราชนะ และเรารักกัน ซึ่งทำให้การซื้อขายเกิดความคึกคักและสนุกมากเห็นภาพการซื้อของมากมาย

ไม่ใช่เพียงจังหวัดอุดรธานีแต่ทั่วประเทศไทย เป็นการกระตุ้นตลาดอย่างแรงจนสัมผัสได้แต่พอเงินเริ่มหมดโครงการของภาครัฐบวกกับคลัสเตอร์การระบาดของโควิด-19 รอบที่ 3 ปะทุขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็กลายเป็นกราฟดิ่งหัวปักลงพื้นทันที

“มิลินทร์” บอกว่า เหตุการณ์คลัสเตอร์ทองหล่อทำให้ภาพการซื้อขายสินค้าเบาบางลงพอสมควร ลูกค้าของตั้งงี่สุนหายไปทันทีกว่า 30% ทำให้ในปีนี้ไม่สามารถคาดเดาหรือตั้งเป้ากับตัวเลขผลประกอบการได้เลย เนื่องจากสถานการณ์แตกต่างจากการระบาดของโควิด-19 ในทุกรอบที่ผ่านมา

เรียกว่าคลัสเตอร์ทองหล่อเป็นการระบาดของโควิด-19 ที่สร้างความกลัวให้ผู้คนมาก เพราะดูเชื้อรุนแรงกว่าทุกรอบที่ผ่านมา และขยายวงกว้างกระจายตัวไปทั่ว โผล่ทุกภูมิภาคทุกอาชีพจำนวนมาก แถมยังควบคุมไม่ได้อีก

แม้จะเป็นช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วที่เกิดขึ้นในสนามมวยแต่การควบคุมแตกต่างกัน อันที่จริงทุกฝ่ายมีระบบการจัดการที่ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการเดินหน้าของระบบเศรษฐกิจ อย่างมีคนติดในห้างชั้นไหนก็ปิดชั้นนั้น

ไม่ได้หยุดชะงักทั้งห้าง กระทรวงสาธารณสุขเริ่มมองเห็นทิศทางการทำงานดีขึ้น รู้ว่าควรทำอย่างไร ควรผ่อนปรนจุดไหน ซึ่งถือว่าระบบการจัดการดีมาก

ปัจจุบันแม้ไม่มีการล็อกดาวน์พื้นที่ แต่มีการควบคุมพื้นที่สูงสุดแตกต่างกันไป แต่ทุกภาคส่วนทุกธุรกิจก็ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะมีการควบคุมการซื้อขายต่าง ๆ ร้านอาหาร ร้านขายของปิดตัว

ธุรกิจการค้าบางจังหวัดก็ไม่สามารถข้ามจังหวัดกันได้แล้ว อีกทั้งผู้คนมีความรู้มีความกลัวกักตัวกันอยู่ในบ้านมากขึ้น ถึงรัฐบาลไม่ได้ล็อกดาวน์ควบคุมพื้นที่ 100% แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคลัสเตอร์ครั้งนี้ใหญ่เกิน บรรยากาศจึงไม่ต่างกัน

“สำหรับภาพรวมของจังหวัดอุดรธานีขณะนี้ธุรกิจซื้อขายสินค้ายังพอไปได้แต่ก็ซบเซาลง ต้องจับตาดูสถานการณ์เดือนต่อเดือน และตั้งงี่สุนเองก็ต้องสู้อย่างสุดกำลังกันต่อไปในธุรกิจการค้าร่วมกับพนักงาน 400-500 คน ด้วยเหตุและผลหลายอย่างรอบตัว

ตอนนี้คาดหวังว่าเรื่องวัคซีนจะมาและทำให้มันจบ อยากให้รัฐบาลเร่งจัดการเรื่องวัคซีนให้เร็วที่สุดตามที่หลายองค์กรออกมาเรียกร้อง

และอยากให้ภาครัฐเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยก่อนเป็นอันดับแรก เพราะผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยจะเป็นฐานสำคัญที่จะหนุนธุรกิจใหญ่ให้ไปต่อและสามารถเติบโตได้”

“มิลินทร์” ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เวลาล่วงมาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว การระบาดของโควิด-19 ไม่รู้ว่าสถานการณ์ล่วงเลยมาถึงจุดที่มีคนเสียชีวิตรายวันได้อย่างไร อยากให้นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยและแสดงความเป็นผู้นำที่ดีกว่าในปัจจุบัน

อยากให้มีระบบสั่งการถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อจัดการกับสถนการณ์อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งแรกที่เกิดการระบาด หรืออย่างน้อยเปิดให้ฉีดวัคซีนได้มากขึ้น เชื่อว่าหลายคนยอมจ่ายเงินแน่นอน หากมีทางเลือกที่มากขึ้น

นอกจากนี้อยากให้ภูเก็ตโมเดลเกิดขึ้นได้จริง ฟังดูอาจจะเห็นแก่ตัว เพราะไปสนับสนุน แต่คิดว่าแหล่งท่องเที่ยวจะเป็นตัวดึงดูดเงินและฟื้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุดในเวลานี้

เพราะมีเศรษฐีที่พร้อมจ่ายมากมาย มุมนี้น่าจะกลับมาเร็วและเป็นจุดที่น่าสนใจมาก โดยเงินจะกลับเข้ามาที่ภาคเอกชนก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นทุกอย่างจะมีแรงหมุนกระตุ้นต่อไป

เนื่องจากการท่องเที่ยวถือเป็นทรัพยากรที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ก็ต้องลุ้นกันว่าจะเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าหากมีมาตรการที่ดี ทุกอย่างจะสามารถเกิดขึ้นได้