“กรีนบัส” ปรับทิศรุกธุรกิจคาร์โก้ งัดแลนด์แบงก์พัฒนา “โรงแรม-รถเช่า”

“กรีนบัส” ยักษ์ใหญ่ขนส่งรถโดยสารประจำทางสายเหนือ ปรับทิศรุก “คาร์โก้” เต็มสูบ รับเทรนด์ตลาดขนส่งสินค้าเติบโตต่อเนื่องปีละกว่า 10% หรือกว่า 60 ล้านบาทต่อปี ชี้กำลังซื้อของผู้โดยสารแผ่วลง อัตราการเดินทางลดลง เหตุเศรษฐกิจชะลอตัว เตรียมงัดแลนด์แบงก์กว่า 100 ไร่ทั่วประเทศ บุกธุรกิจรองรับการเดินทางทั้งโรงแรมและรถเช่า เผยผลประกอบการปี”60 แตะ 480 ล้านบาท คาดพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯไตรมาส 3 ปี 2562

นายสมชาย ทองคำคูณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด ผู้ให้บริการขนส่งรถโดยสารประจำทางสายเหนือ (กรีนบัส) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แผนงานสำคัญในปี 2561 ของบริษัท จะรุกธุรกิจบริการขนส่งสินค้า (cargo) ให้มากขึ้น เนื่องจากตลอดระยะหลายปีที่ผ่านมา อัตราการใช้บริการขนส่งสินค้าไปกับรถโดยสารของกรีนบัสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 10% โดยในปี 2560 มียอดขายกว่า 60 ล้านบาท ซึ่งการขยายธุรกิจคาร์โก้ถือเป็นการทดแทนการขนส่งผู้โดยสารที่มีแนวโน้มลดลง

โดยพบว่าในปี 2560 อัตราการเดินทางของผู้โดยสารที่ใช้บริการของกรีนบัสลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการมีทางเลือกในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงระยะ 3 ปีที่ผ่านมา กำลังซื้อของผู้โดยสารแผ่วลง อัตราการเดินทางลดลง ซึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจดี อัตราการเติบโตจะอยู่ที่ราว 3-5% แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี อัตราการเติบโตของผลประกอบการจะอยู่ที่ 1%

สำหรับธุรกิจเดินรถโดยสารถือเป็นธุรกิจที่ผันแปรไปตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังคงมีความจำเป็นต่อการเดินทางของคนกลุ่มใหญ่ แม้ปัจจุบันทางเลือกในการเดินทางจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางขนส่งทางอากาศข้ามจังหวัด-ข้ามภูมิภาคที่มีปริมาณและความถี่ของสายการบินเพิ่มมากขึ้น แต่ก็จะไม่ทำให้การขนส่งรถโดยสารลดบทบาทลง เนื่องจากลูกค้าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสายการบินจะเป็นขนส่งหลัก และรถโดยสารประจำทางก็จะเป็น feeder หลัก ที่จะเชื่อมต่อผู้โดยสารจากสายการบินไปยังจังหวัดใกล้เคียง เป็นการเกื้อหนุนกันในอนาคต

อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการบริหารจัดการระบบขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะการที่เชียงใหม่เป็นฮับ (hub) ทางการบิน รถโดยสารจะมีบทบาทสำคัญที่จะเป็นตัว feeder กระจายนักท่องเที่ยวจากเที่ยวบินต่าง ๆ ต่อไปยังจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเราก็วางตำแหน่งให้เชียงใหม่เป็นฮับของกรีนบัส

นายสมชายกล่าวต่อว่า สำหรับรายได้รวมทั้งหมดของกลุ่ม ในปี 2560 อยู่ที่ราว 480 ล้านบาท มีกำไรเฉลี่ยกว่า 8 ล้านบาทจากยอดขายทั้งหมด ซึ่งมีกำไรราว 1% ดังนั้น การขยายธุรกิจบริการคาร์โก้ในปี 2561 จะเข้ามาเพิ่มในส่วนของกำไรได้มากขึ้น และตลาดก็มีแนวโน้มที่ดีมาก โดยสินค้าหลักที่ขนส่งไปกับรถโดยสารคือ สินค้าการเกษตรที่จะหมุนเวียนแต่ละช่วงฤดูการผลิต เช่น ช่วงฤดูหนาวคือ สินค้ากลุ่มสตรอว์เบอรี่ และสินค้าของตกแต่งบ้าน-ที่อยู่อาศัย เช่น ผ้าม่าน รวมถึงงานหัตถกรรมของภาคเหนือ ซึ่งสามารถกระจายไปกับรถโดยสารของกรีนบัสในทุกเส้นทาง ปัจจุบันมีรถให้บริการทั้งรถโดยสารประจำทาง 130 คัน และรถร่วมกว่า 200 คัน รวมถึงมีรถบรรทุกที่ขนส่งสินค้าโดยเฉพาะเพิ่มขึ้นมาด้วย

ในส่วนของปัญหาเรื่องต้นทุนน้ำมันนับว่ามีผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ที่จะแปรผันกับการใช้บริการที่ลดลง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องชะลอการลงทุนการซื้อรถเพิ่มออกไปก่อน โดยจะใช้ปริมาณรถที่มีอยู่บริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ จากตัวเลขของผู้โดยสารที่ขยายตัวสูงสุดคือภาคเหนือ มากกว่าการเดินทางข้ามภาคไปยังภาคอีสานและภาคใต้

ส่วนการปรับตัวของบริษัทที่จะทำในระยะต่อไป มีแผนที่จะนำที่ดินที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 100 ไร่ นำมาลงทุนธุรกิจรองรับการเดินทางทั้งโรงแรม รถเช่า ธุรกิจรับฝากกระเป๋า เป็นต้น โดยเฉพาะด้านโรงแรมก็อาจจะร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ อาทิ โรงแรม B2 ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ขณะนี้ยังไม่ได้มีการคุยกันในรายละเอียด ซึ่งหากแผนของบริษัทลงตัว ก็จะมีการเจรจาในระยะต่อไป นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจบริการรถ V.I.P. ในเส้นทางจากเชียงใหม่-ภูเก็ต หรือเชียงใหม่-น่าน ที่จะให้บริการแบบชั้นพิเศษ เป็นต้น

นายสมชายกล่าวอีกว่า การนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการทั้งในเรื่องระบบบัญชี การเงินที่ได้ทำต่อเนื่องมากว่า 2 ปีแล้ว ขณะนี้เหลือเพียงการทำกำไรที่ต้องมีขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ซึ่งกรณีที่เศรษฐกิจชะลอตัว และการเดินทางลดลงของผู้โดยสาร จึงทำให้บริษัทต้องมีการปรับแผนธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้มาทดแทนเพื่อให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2562