“มิตซูบิชิ” ทุ่ม 6 พัน ล้านเยน ร่วมทุน “เบทาโก” เสริมธุรกิจ

คอลัมน์ Market Move

ปกติแล้วญี่ปุ่นมักจะเป็นฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยีและโนว์ฮาวด้านต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นเมื่อเข้าไปลงทุนตั้งฐานการผลิตสินค้าหรือบริการในต่างประเทศ แต่ล่าสุดมิตซูบิชิได้เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ในไทยหวังเรียนรู้โนว์ฮาวด้านการแปรรูปสินค้าเนื้อสัตว์เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจของตนเอง รวมถึงผลิตสินค้าป้อนตลาดญี่ปุ่นที่ดีมานด์กำลังพุ่งสูงต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กัน

สำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า “มิตซูบิชิ คอร์ป” บริษัทขายส่งในเครือมิตซูบิชิยักษ์อุตสาหกรรมสัญชาติญี่ปุ่นได้จับมือกับ “เบทาโกร” ยักษ์อุตสาหกรรมอาหารของไทยและ “อิโตแฮม โยเนะคิวโฮลดิ้ง” (Itoham Yonekyu Holdings) พันธมิตรจากญี่ปุ่นอีกรายซึ่งเป็นคู่ค้ากับมิตซูบิชิฯมานาน ตั้งโรงงานแปรรูปเนื้อไก่กำลังผลิต 30,000 ตันต่อปี ใกล้กับโรงงานต้มไก่ของเบทาโกร

ซึ่งเป็นแหล่งซัพพลายหลัก ในสวนอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี มีกำหนดเดินเครื่องจักรช่วงเดือน ต.ค. ปีนี้

การลงทุนมูลค่า 6,000 ล้านเยน หรือประมาณ 1,720 ล้านบาทครั้งนี้ มิตซูบิชิฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 50% ส่วนเบทาโกรและอิโตแฮม โยเนะคิว โฮลดิ้งถือหุ้นบริษัทละ 25%

ขณะเดียวกันมิตซูบิชิฯยังถือหุ้นอีก 25% ในโรงงานต้มไก่ของเบทาโกรที่ตั้งอยู่ติดกันอีกด้วย

โดยเป้าหมายในการตั้งโรงงานแห่งนี้เพื่อผลิตเนื้อไก่แปรรูปป้อนให้กับธุรกิจอาหารในญี่ปุ่น รับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกันจนมาอยู่ที่ 2.36 ล้านตันต่อปีจากเทรนด์สุขภาพ

ซึ่งกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมากินเนื้อไก่เพราะเป็นมิตรกับสุขภาพมากกว่าหมูและวัว ส่งผลให้ญี่ปุ่นนำเข้าเนื้อไก่จากไทยเพิ่มขึ้นในระดับเลข 2 หลักมาตั้งแต่ปีงบฯ 2559

ทางบริษัทจึงตัดสินใจเดินแผนรวมฐานการผลิต-แปรรูปเนื้อไก่เอาไว้ในไทยเพื่ออาศัยความได้เปรียบในการเป็นแหล่งผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แรงงานราคาถูกและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน

ขณะเดียวกันยักษ์ค้าส่งจากแดนปลาดิบรายนี้ยังเล็งคว้าโนว์ฮาวด้านการแปรรูปไก่จากไทยซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจที่มีในมือทั้งร้านสะดวกซื้อลอว์สันที่มีไก่ทอดและสินค้าจากเนื้อไก่รูปแบบอื่น ๆ เป็นสินค้าเด่น และช่องทางค้าปลีกอย่างซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและผู้ประกอบการแปรรูปอาหาร รวมถึงมีหุ้นในเคเอฟซี โฮลดิ้งเจแปน ผู้บริหารเชนร้านเคเอฟซีในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย การได้โนว์ฮาวนี้จึงช่วยเสริมแกร่งทั้งตลาดบ้านเกิดและเพิ่มศักยภาพธุรกิจในตลาดยุโรปและตะวันออกกลางไปพร้อมกัน

ทั้งนี้เมื่อเดือน พ.ย. มิตซูบิชิคอร์ปได้ปรับคาดการณ์รายได้ของปีงบฯ 2560 ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2561 โดยเพิ่มกำไรสุทธิเป็น 500,000 ล้านเยน สูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 14% จากปัจจัยบวกหลายด้าน

โดยเฉพาะราคาสินค้าอย่าง โลหะต่าง ๆ ที่ปรับสูงขึ้นและกำลังซื้อจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของจีน

ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนี้ยังทำสถิติสูงสุดตลอดกาลของบริษัท ลบสถิติเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งมีกำไร 471,000 ล้านเยน เมื่อปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังบูมจากการเติบโตของประเทศตลาดเกิดใหม่หลายแห่งก่อนจะเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจใน

เวลาต่อมาการลงทุนนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่จะขยายฐานออกสู่ต่างประเทศ หลังจากจับมือ “ยามาซากิ เบกกิ้ง” ตั้งโรงงานเบเกอรี่ในอินโดนีเซียเพื่อผลิตสินค้าป้อนตลาดในประเทศช่วยให้มิตซูบิชิมีตลาดส่งออกมาชดเชยกับอัตราบริโภคในญี่ปุ่นที่ลดลงต่อเนื่อง

ต้องรอดูกันว่า การทุ่มลงทุนของมิตซูบิชิคอร์ปในครั้งนี้จะสามารถดูดซับองค์ความรู้ด้านการแปรรูปเนื้อไก่ได้ตามที่หวังไว้หรือไม่และจะสามารถนำโนว์ฮาวที่ได้กลับไปสร้างความได้เปรียบในตลาดบ้านเกิดได้มากแค่ไหน