TKN ไลฟ์สดโปรโมตของ ปูพรมสินค้าบุกไทยเทศ

สาหร่ายอบกรอบเถ้าแก่น้อย

ธุรกิจเด้งรับสัญญาณบวก หลังโควิดซา-เปิดประเทศ “เถ้าแก่น้อย” กางแผนครึ่งปีหลัง ย้ำยังรัดเข็มขัดรับมือปัจจัยลบรอบด้าน ทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ สาหร่ายอบ สาหร่ายโรยข้าว ดึงพรีเซ็นเตอร์ชื่อดังช่วยไลฟ์สดดึงลูกค้าไทยและต่างประเทศ พร้อมปรับสูตรขยายอายุชานมจัสท์ดริ้งค์ ส่งออกสิงคโปร์ เผย ไตรมาส 2/65 รายได้เฉียดพันล้าน เติบโต 22%

นายจิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายภายใต้แบรนด์สินค้า “เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยใน Opportunity Day ที่จัดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ขณะนี้ ธุรกิจเริ่มได้รับสัญญาณบวกจากวิกฤตโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง บวกกับนโยบายเปิดประเทศ แต่ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวเพื่อรองรับการฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง

เนื่องจากปัจจุบันยังมีปัจจัยลบจากสงครามรัสเซียและยูเครน ราคาน้ำมันที่ผันผวน ภาวะเงินเฟ้อ หรือแม้กระทั่งการซ้อมรบของจีนและไต้หวันเมื่อไม่นานมานี้ มีผลต่อผลประกอบการของอุตสาหกรรมหลายประเภท

เช่นเดียวกับเถ้าแก่น้อย ช่วงไตรมาส 2/2565 (เมษายน-มิถุนายน) มีรายได้จากการขาย 958 ล้านบาท เติบโต 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายรวม 783 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานมีการฟื้นตัวขึ้นจากยอดขายผลิตภัณฑ์สาหร่ายทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ไต้หวัน และเวียดนาม ที่มีอัตราเติบโตเกิน 2 หลัก

ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 38% และต่างประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 62% ส่วนกำไรสุทธิ 71 ล้านบาท เติบโต 218% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.2 ล้านบาท แม้ต้องเผชิญกับปัจจัยด้านราคาพลังงานและวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิต และต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

ขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 1,926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 1,703 ล้านบาท เป็นผลหลังจากผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ทำให้ความการบริโภคสินค้าฟื้นตัว ขณะที่สินค้าชานมจัสท์ดริ้งค์ มียอดขายลดลง เนื่องจากกระแสของชานมลดลง โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อน้อยลง

นายจิระพงษ์กล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทยังให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึงการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ ปัจจุบันต้นทุนสาหร่ายยังคงอยู่ที่ 30% ขณะที่ต้นทุนบรรจุภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น แต่ยังสามารถบาลานซ์กันกับต้นทุนสาหร่ายได้ และในไตรมาส 3-4 การรวมโรงงานนพวงศ์มาอยู่ที่โรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา จะช่วยสนับสนุนด้านกำลังการผลิตได้อย่างเต็มที่

พร้อมเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์สาหร่าย โดยเฉพาะสาหร่ายอบและสาหร่ายโรยข้าว ซึ่งทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้มีการปรับสูตรและพัฒนารสชาติหลากหลายมากขึ้น คาดว่าจะวางจำหน่ายอย่างน้อย 1-2 รายการในครึ่งปีหลัง

ส่วนผลิตภัณฑ์นมพาสเจอไรซ์ ภายใต้แบรนด์ จัสท์ดริ้งค์ ได้เปิดตัวรสชาติใหม่ ได้แก่ ชานมเอิร์ลเกรย์ คาดว่าจะทยอยออกรสชาติใหม่อีก 1-2 รายการ และได้มีการทำ R&D ขยายอายุผลิตภัณฑ์จัสท์ดริ้งค์ให้เก็บได้นานขึ้น เพื่อส่งออกไปตลาดสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายครึ่งปีหลังเติบโตได้

ขณะเดียวกัน บริษัทได้เพิ่มน้ำหนักการทำตลาด ล่าสุดได้นำผลิตภัณฑ์สาหร่าย ไปทำตลาดร่วมกับ BT21 ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนของ LINE FRIENDS ที่ออกแบบโดยวงไอดอลเกาหลี BTS โดยหลังจากวางจำหน่ายได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ควบคู่กับการเปิดตัวแคมเปญ NFT : THE PHENOMENON ร่วมกับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อออกแบบ nonfungible token (NFT) คอลเล็กชั่นพิเศษกว่า 600,000 ชิ้น ผ่านซองขนมเถ้าแก่น้อย ซึ่งนับเป็นการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ให้กับผู้บริโภค

พร้อมกันนี้ ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป จะมีการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่มีกลุ่มแฟนคลับจำนวนมาก เข้ามาช่วยไลฟ์สดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทุก ๆ 2 เดือน ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์อะแวร์เนส สื่อสารไปถึงลูกค้าทั้งไทยและตลาดจีน

โดยบริษัทตั้งเป้าให้โปรดักต์ใหม่ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดให้ได้ ซึ่งปัจจุบันเถ้าแก่น้อยยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 65% ในตลาดสแน็กที่เริ่มมีแนวโน้มเติบโตขึ้น

ด้านตลาดต่างประเทศ มีการเติบโตทุกตลาดโดยเฉพาะอเมริกา ที่บริษัทนำแบรนด์โนระเข้าไปทำตลาดและขยายช่องทางเข้าไปในค้าปลีกใหญ่ ๆ เริ่มได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น

ส่วนประเทศจีน ที่ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ปัจจุบันได้ผ่อนคลายลง แต่ก็มีการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ บริษัทได้วางแผนกับดิสทริบิวเตอร์ในการกระจายสินค้า และให้ทีมงานสำรวจตลาดเพิ่มขึ้น และจะเน้นทำตลาดออนไลน์ โดยใช้พรีเซ็นเตอร์ดาราไทย ช่วยไลฟ์สดโปรโมตสินค้า ประเมินว่าคำสั่งซื้อจากจีนในครึ่งปีหลังจะเข้ามามากกว่า 100 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจกำลังซื้อที่ยังอ่อนตัว ซึ่งทุก ๆ ธุรกิจต้องปรับตัวรอบด้าน และจากกลยุทธ์ข้างต้นจะช่วยผลักดันให้บริษัทมีรายได้เติบโต 10-15% ภายในสิ้นปี 2565