โตแล้วไปไหนก็ได้ “The Parrot” ปลุกแฟชั่นโกอินเตอร์

คอลัมน์ Biz ว้าวว!
ด้วยสไตล์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ สอดรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ผสมผสานระหว่างดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานให้สามารถสวมใส่ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งทำงาน และสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ในยามค่ำคืนได้แบบไม่อายใคร

จุดเด่นเหล่านี้กลายเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้ “The Parrot” แบรนด์แฟชั่นไทยที่มีช่องทางขายอยู่แค่ออนไลน์ ได้ก้าวสู่การมีหน้าร้านตามศูนย์การค้าต่าง ๆ ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และทำให้ชื่อของ “The Parrot” กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

“พิมสิริ นาคสวัสดิ์” เจ้าของแบรนด์แฟชั่น “The Parrot” กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงจุดเริ่มต้นในการสร้างแบรนด์เสื้อผ้า The Parrot ขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนว่า แม้จะไม่ได้จบด้านดีไซเนอร์โดยตรง แต่ด้วยความสนใจด้านแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ประกอบกับมีทักษะทางสถาปัตย์ที่เรียนมาโดยตรงเข้ามาผสมผสาน พร้อม ๆ กับการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และลงมือทำจริง ๆ ก็สร้างให้แบรนด์ “The Parrot” เกิดขึ้น และปัจจุบันก็กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นไทยที่กำลังเติบโต และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

“การเติบโตที่เกิดขึ้นของแบรนด์ The Parrot ถือว่าเร็วกว่าที่คาดไว้ จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปีหลังจากสร้างแบรนด์ถึงจะขยายไปต่างประเทศแต่ทุกอย่างเร็วกว่าที่คิดเพราะแค่เปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ถึง 1 ปีก็ได้เปิดร้านในศูนย์การค้าเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์ ซึ่งปัจจุบันมี 7 สาขา”

สำหรับจุดแข็งที่ทำให้ The Parrot ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา4 ปี “พิมสิริ” บอกว่า ดีไซน์และคอนเซ็ปต์ที่แข็งแรง ถือเป็นจุดสำคัญ ซึ่งคอนเซ็ปต์ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น ว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ทุกวัน ตามด้วยคุณภาพของสินค้าที่ดีราคาจับต้องได้ ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่า และรู้สึกว่าสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกวัน

ปัจจุบันภายใต้ร่มของ The Parrot มีทั้งหมด 3 แบรนด์ ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับบนและกลาง ประกอบด้วย The Parrot To Go วางให้เป็นแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น ตามด้วย The Parrot Bangkok เจาะกลุ่มกลางที่ต้องการเสื้อผ้าสไตล์มินิมอล สบาย ๆ แต่ดูดี ราคาตั้งแต่ 1,000-3,000 บาท และ The Parrot Private เจาะลูกค้ากลุ่มบนที่ต้องการเสื้อผ้าเทเลอร์เมดเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์

สเต็ปต่อไป “พิมสิริ” ตั้งเป้าหมายว่า จะพาแบรนด์ “The Parrot” ออกไปเติบโตในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยจะใช้แบรนด์ “The Parrot Bangkok” ในการรุกตลาด ซึ่งเบื้องต้นเปิดกว้างสำหรับหลาย ๆ โมเดล ทั้งหาพันธมิตรในแต่ละประเทศ หรือลงทุนเอง ล่าสุดได้เปิดช็อปที่สิงคโปร์เป็นประเทศแรก และเร็ว ๆ นี้มีแผนจะขยายต่อยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย หนึ่งในนั้นคือ จีน โดยจะเข้าไปร่วมกับรัฐบาลจีนในการโปรโมตแบรนด์ร่วมกัน

นอกจากนี้เตรียมขยายต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปและอเมริกาด้วย

สำหรับโจทย์ใหญ่ในการรุกออกไปตลาดต่างประเทศนั้น “พิมสิริ” บอกว่า สิ่งที่ต้องเตรียม คือ ระบบบริหารจัดการโดยเฉพาะขนาดของเสื้อผ้า เพราะรูปร่างของคนเอเชียและยุโรป อเมริกา แตกต่างกัน อาจจะต้องมี 2 ไซซ์ คือ ไซซ์ยุโรปและเอเชีย รองรับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม

เธอทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันการแข่งขันตลาดเสื้อผ้าค่อนข้างแรง โดยเฉพาะฟาสต์แฟชั่น ดังนั้นการเติบโตของแฟชั่นไทย อาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ จากที่เน้นทำตลาดในไทยให้แข็งแกร่งก่อนขยายออกไปต่างประเทศ ก็อาจจะต้องปรับเป็นออกไปสร้างแบรนด์ในต่างประเทศก่อน และค่อยกลับเข้าโตในตลาดไทย ซึ่งเทคโนโลยี และการเติบโตของสื่อดิจิทัล ก็เป็นอีกแรงสำคัญในการเพิ่มโอกาสทางการขายให้แก่แบรนด์ในยุคนี้

วันนี้ The Parrot กำลังโบยบินออกสร้างการเติบโต พร้อม ๆ กับการประกาศศักยภาพของแบรนด์แฟชั่นไทยบนต่างประเทศอีกแบรนด์