
การสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจ ควบคู่ไปกับการพลิกตัวรุกคืบสู่สื่อออนไลน์ ทั้ง “เฟซบุ๊ก-ยูทูบ” กลายเป็น “ส่วนผสม” ที่ลงตัวของเวิร์คพอยท์ทีวี ทำให้สร้างฐานแฟนประจำให้แก่ช่องได้อย่างเนียน ๆ
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ชลากรณ์ ปัญญาโฉม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัลทีวี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถึงทิศทางการเติบโต ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากทุก ๆ มิติ ทั้งพฤติกรรมผู้ชม แพลตฟอร์มออนไลน์ที่แข็งแรงขึ้น ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีกลับไม่ได้เติบโตขึ้น
Q : ภาพรวมการแข่งขันทีวีดิจิทัลปีนี้เป็นอย่างไร
การแข่งขันปีนี้จะดูคึกคักหน่อย เพราะหลาย ๆ ช่องปล่อยคอนเทนต์ใหม่ ๆ ตั้งแต่ต้นปี ส่วนหนึ่งมาจากหลายช่องมีเงินทุนจากผู้ถือหุ้นใหม่ ทำให้มีงบฯมาพัฒนาคอนเทนต์ใหม่ ๆ มากขึ้น ขณะเดียวกันคอนเทนต์ของแต่ละช่องมีความชัดเจนมากขึ้นด้วย
Q : ถ้าให้บอกตัวตนของเวิร์คพอยท์ปัจจุบัน และกลยุทธ์หลัก ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
เวิร์คพอยท์ยังเป็นคอนเทนต์โพรไวเดอร์ โดยปีที่ผ่านมาเราเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนเราจะลงทุนเพิ่ม แต่ด้วยสถานการณ์แข่งขันที่รุนแรงขึ้น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วจากทุก ๆ มิติ ทำให้กลยุทธ์แบบเดิมใช้ไม่ได้ เพราะถ้าลงทุนเพิ่ม หาคนเพิ่ม องค์กรจะใหญ่ รกรุงรัง เคลื่อนตัวช้า สิ่งที่เราทำ คือ การหาพาร์ตเนอร์มาร่วมพัฒนารายการใหม่ ๆ เพิ่ม เป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่าย วิธีนี้จะทำให้เดินหน้าได้เร็วขึ้น และมีคอนเทนต์แตกต่าง
Q : โจทย์การทำงานปีนี้ที่ว่ายาก จริง ๆ แล้วยากขึ้นแค่ไหน
โจทย์ยากขึ้นทุกปี แต่ปีนี้ทุกอย่างเปลี่ยนเร็วขึ้น ทั้งพฤติกรรมคนดู สื่อออนไลน์ แพลตฟอร์มที่ขยายตัวขึ้น ทุกอย่างเปลี่ยนผ่านเร็วมาก ซึ่งอุตสาหกรรมทีวีอาจต้องอยู่สถานการณ์ชุลมุนแบบนี้อีก 1-2 ปี หลังจากนั้นคาดว่าทุกอย่างน่าจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
ประกอบกับปีที่ผ่านมา เราเองเติบโตก้าวกระโดด มีเรตติ้งที่ดี ทำให้การทำงานปีนี้ถูกคาดหวังจากทั้งผู้ชมและผู้ถือหุ้นมากขึ้น ดังนั้น กลยุทธ์หลัก ๆ คือ เปิดกว้างสำหรับทุกพาร์ตเนอร์ในการทำงานร่วมกัน ทั้งผู้ผลิตรายการทีวี แพลตฟอร์ม เรียกว่าเปิดรับหมด เร็ว ๆ นี้จะมีโปรเจ็กต์กับบริษัท ซูปเปอร์จิ๋ว จำกัด ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์เก่า และเตรียมทำรายการใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนพาร์ตเนอร์ใหม่ เช่น นครหลวงโปรโมชั่น จะมีรายการมวยเข้ามา นอกจากนี้มีบีเอ็นเค 48 จะมาร่วมกันทำรายการทีวี มีวู้ดดี้ และอื่น ๆ อีกมาก รวมถึงซีรีส์อินเดีย เข้ามาออกอากาศ ในปลายปีนี้ยังมีเอเชี่ยนเกมส์ ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอดสดรูปแบบใหม่ ทั้งหน้าจอทีวีและออนไลน์ไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากมีการแข่งขันกีฬาหลายประเภท ขณะเดียวกันจะผลิตคอนเทนต์ที่ต่อยอดออกไป
“ผมมองว่าเอเชี่ยนเกมส์ เป็นกีฬาที่ลุ้นสนุก ต้องใช้ความพยายามกว่าจะได้เหรียญทองมา แต่ก็ไม่ยากขนาดโอลิมปิก และมีกีฬาหลายรายการที่เราได้ลุ้น”
Q : รายการใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามา ดูเหมือนต้องการเจาะผู้ชมกลุ่มแมสกว่าเดิม
มีทั้งที่เจาะแมส และไม่แมส หลัก ๆ แล้วมองกลับไปที่พาร์ตเนอร์มากกว่า ว่าจะทำอะไรร่วมกันได้แค่ไหน ความแตกต่างคือ จะร่วมกันพัฒนาคอนเทนต์ทุกรูปแบบทั้งหน้าจอทีวีและช่องทางออนไลน์ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปีที่ผ่านมาสื่อออนไลน์พุ่งขึ้นมาแรงมาก ทำให้ทุกคนในอุตฯตื่นตัว และพุ่งไปที่ออนไลน์
ปีที่ผ่านมา “เวิร์คพอยท์ทีวี” พิสูจน์ให้รู้ว่า ทีวียังเป็นสื่อหลักที่เข้าถึงผู้ชมได้จำนวนมาก ในขณะที่สื่อออนไลน์ยังไม่สามารถเข้าถึงคนต่างจังหวัดได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากค่าบริการอินเทอร์เน็ตยังสูง ทำให้เชื่อว่าถ้าค่าบริการอินเทอร์เน็ตถูกลง สมาร์ทโฟนถูกลง การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะการเข้าถึงสื่อออนไลน์ในตอนนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นอยู่มาก ดังนั้นตอนนี้ลูกค้า (สินค้า) ที่มีงบฯมากพอก็ใช้สื่อทีวีและออนไลน์ไปพร้อม ๆ กัน แต่บางรายที่มีงบฯน้อยก็ไปออนไลน์ แต่หากสื่อออนไลน์มีการวัดเรตติ้งที่ชัดเจนเหมือน ๆ กับสื่อทีวี อุตฯก็น่าจะโตเร็วขึ้น
การที่บริษัทมีความแข็งแกร่งทั้งช่องทางออนไลน์ และทีวี จะเป็นการบาลานซ์ความเสี่ยงไปในตัว

The Mask Singer เรตติ้งลดลงไปพอสมควร
สำหรับ The Mask Singer ยังทำต่อ เพราะถ้าดูจากเรตติ้ง แม้จะลดลง แต่ก็มีฐานแฟนประจำอยู่ ซึ่งยุคนี้ทำอะไรต้องเร็ว แต่ถ้าเราตัดสินใจหยุด หรือทำรายการแค่ปีละ 1 ครั้ง เท่ากับว่า 3 ปี จะมีแค่ 3 ซีซั่น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าความนิยมจะเป็นอย่างไร จะมีคนดูอยู่หรือไม่ หรืออาจเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ คนดูลืมรายการไปแล้วก็ได้ ทำให้เราตัดสินใจทำรายการต่อทันทีที่จบซีซั่น ด้วยการนำข้อมูลจากเรตติ้งมาวิเคราะห์อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งพบว่ารายการยังมีคนดู ลูกค้า (สินค้า) ก็ยังขายของได้ แต่ก็มีเป้าหมายอยู่ว่า ถ้าเรตติ้งถึงจุดไหนแล้วต้องหยุด
Q : ทุกคนโดดลงมาออนไลน์หมด ความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นคืออะไร
จริง ๆ ปีที่แล้วถือว่าเราแค่เริ่มทดลอง แต่ปีนี้ผูกกับพาร์ตเนอร์มากขึ้น เพราะยากกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน มีความท้าทายเกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งเทคโนโลยี พฤติกรรมคนดูก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ในแง่ของเฟซบุ๊กเองก็ปรับ ทำให้เห็นฟีดของโฆษณาน้อยลง แต่สำหรับเวิร์คพอยท์เท่าที่มอนิเตอร์ เราได้รับผลกระทบจากตรงนี้ไม่เยอะ เนื่องจากเราไม่ได้มีแค่เฟซบุ๊กเป็นช่องทางหลัก แต่มีแฟนประจำที่แข็งแรงในยูทูบอยู่ด้วย มีสมาชิกเกือบ 12 ล้านสมาชิกและโตต่อเนื่อง จนยูทูบเหมือนกับเป็นทีวีอีกช่องหนึ่งไปแล้ว
Q : โลกออนไลน์ที่ขยายตัวเร็วขึ้น พฤติกรรมคนดูที่ซับซ้อนขึ้น การดึงคนดูในยุคนี้ จำเป็นต้องพึ่งพาการวิเคราะห์เป็นพิเศษ
เรามอนิเตอร์ตลอดเวลา ดูทุกวันอย่างละเอียด คนดูเป็นกลุ่มไหน จะปรับให้เข้ากับพฤติกรรมของคนดูกลุ่มนั้นอย่างไร คือต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นความจริงว่าการนำข้อมูลมาวิเคราะห์มีความสำคัญอย่างมากในยุคนี้ แต่การนำข้อมูลมาวิเคราะห์และปรับใช้เป็นสิ่งสำคัญกว่า
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคอนเทนต์ออกอากาศ ก็ต้องวิเคราะห์ว่าได้ถูกส่งต่อไปถึงคนดูจริงหรือไม่ สร้าง engagement ได้จริงหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แยกทีมวิเคราะห์ข้อมูลกับคนทำคอนเทนต์ออกจากกัน ขณะที่เวิร์คพอยท์ใช้ทีมเดียวกัน ถือเป็นอีกจุดแข็ง
Q : การสร้างคอนเทนต์ทีวีด้วยสูตรจำง่าย ๆ “สัตว์ประหลาด-อาชญากรรม-ขำ-ซึ้ง” ยังถูกใจผู้ชมอยู่หรือไม่
ผู้ชมยังชอบดูคอนเทนต์แบบนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วโลก แต่ที่ยากขึ้น คือ “หีบห่อ” นั่นหมายถึง จะทำคอนเทนต์ให้ถูกใจผู้ชมได้อย่างไร เพราะจริง ๆ แล้วผู้ชมรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นต้องหาวิธีการเล่าเรื่องใหม่ที่ผู้ชมคาดไม่ถึง ซึ่งแต่ละผู้ผลิตก็มีวิธีการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ต่างกัน
ขณะที่จุดแข็ง เวิร์คพอยท์ คือ ผู้ผลิตคอนเทนต์และภาพจำส่วนใหญ่ คือ ตลก ถือเป็นเรื่องที่ดีที่คนจำเราได้ แต่ที่เพิ่มเติม คือ ดึงพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาช่วยเติมคอนเทนต์ใหม่ ๆ มากขึ้น
Q : นอกจากธุรกิจทีวีแล้ว ยังมีโปรเจ็กต์ใหม่อะไรอีก หรือไม่
ถ้ามีแรงเหลือ มีพาร์ตเนอร์มาชวนทำอะไรก็จะทำ แต่ปีนี้จะกลับมาผลิตภาพยนตร์ไทยอีกครั้ง หลังจากหยุดมานาน ส่วนหนึ่งมาจากอุตฯหนังไทยไม่โต การแข่งขันก็แรง แต่การกลับมาครั้งนี้มีแต้มต่อ เพราะร่วมกับพาร์ตเนอร์ทั้งไทยและต่างประเทศ ก็ต้องลองดู ว่าจะทำได้แค่ไหน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเสร็จทันฉายในปีนี้หรือไม่