“เซ็นทรัล” ปั้นอาณาจักรใหม่ 1 ล้าน ตร.ม.ใจกลางเมือง

ความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มเซ็นทรัล” ในช่วงที่ผ่านมา สร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการชนะประมูลที่ดินของสถานทูตอังกฤษไปในราคาสูงลิบ บิ๊กโปรเจ็กต์ที่จะทำร่วมกับพาร์ตเนอร์ระดับยักษ์ทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อปรับตัวและต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคแห่งดิจิทัล

ในงานแถลงข่าวประจำปี “ทศ จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และทีมบริหาร ได้ประกาศยุทธศาสตร์ทางธุรกิจครั้งใหญ่ ที่จะนำพาองค์กรไปสู่ “นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี” ทั้งในด้านเทคโนโลยีและการเป็นผู้นำดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเปลี่ยนตัวเองจากค้าปลีกเป็น “เทคคอมปะนี” ในอนาคต

Q : จะทรานส์ฟอร์มไปสู่ new economy ได้อย่างไร

เป็นที่ทราบกันดีว่าเทรนด์ของโลกกำลังมุ่งไปที่ “new economy” หรือเศรษฐกิจใหม่ และปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอยู่ใน digital era ที่ใน 5-10 ปีจะส่งผลกระทบมหาศาล ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจและการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง

กลุ่มเซ็นทรัลเองก็ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ โจทย์ของเราคือการทรานส์ฟอร์มจากค้าปลีกไปสู่นิวอีโคโนมี โดยให้ความสำคัญกับ “การจับมือกับพันธมิตร” สร้างความแข็งแรงไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับเครือดุสิตธานี, อิเกีย, เจดีดอทคอม อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในจีน, ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกในปีที่ผ่านมา ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์แพลตฟอร์ม ช่องทางการจำหน่ายแบบออมนิแชนเนล การใช้บิ๊กดาต้าทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าเชิงลึก เพื่อตอบสนองความต้องการแบบรายบุคคล

Q : ความคืบหน้าของโครงการที่ทำร่วมกับพาร์ตเนอร์

หลังจากปีที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับเจดีดอทคอมมูลค่ากว่า 1.75 หมื่นล้านบาท จัดตั้ง “เจดี เซ็นทรัล” สร้างมาร์เก็ตเพลซ ภายใต้ชื่อ JD.co.th มีแผนที่จะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมนี้ ยังทำให้เกิด 2 ธุรกิจใหม่ในเครือ อย่างอีโลจิสติกส์ และอีไฟแนนซ์ สู่การเป็นฟินเทคอย่างเต็มตัว ให้บริการการเงินอย่างครบวงจร โดยจะเริ่มในช่วงปลายปี

การร่วมมือกับดุสิตกรุ๊ป พัฒนาที่ดินบริเวณพระราม 4 (โรงแรมดุสิตธานี) และฮ่องกงแลนด์ ในพื้นที่ของสถานทูตอังกฤษ ข้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ซึ่งมีพื้นที่รวมกันเกือบ 1 ล้านตร.ม. ทำโครงการมิกซ์ยูสอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ที่พักอาศัย มูลค่าการลงทุนรวมทั้ง 2 โครงการ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาพูดคุย คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 1-2 ปีนี้

ส่วนการร่วมมือกับอิเกีย เปิดสาขาที่ 2 บริเวณข้างเซ็นทรัล เวสต์เกต และมีทางเข้าออกที่เชื่อมกัน บนพื้นที่ 5 หมื่น ตร.ม. ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงได้ เตรียมที่จะเปิดตัวในวันที่ 15 มี.ค. 61

Q : มีโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้นมาก กังวลเรื่องโอเวอร์ซัพพลายหรือไม่

ความจริงของเราเน้นที่ไพรมโลเกชั่น ซึ่งมัน super sure เลยว่าไม่มีทางเหมือนที่อื่นอยู่แล้ว แม้กระทั่งคอนโดฯของซีพีเอ็น ก็ทำให้อยู่ใกล้ศูนย์ของเรา ซึ่งลูกค้าก็ชอบและให้การตอบรับที่ดี ในแง่เราการทำมิกซ์ยูสถือว่ามั่นใจมาก แต่คนอื่นถ้าไม่ระวังก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

Q : 5 ปีข้างหน้า ค้าปลีกที่เป็นคอร์บิสซิเนสจะมีทิศทางอย่างไร

แม้ว่าทิศทางจะเน้นไปที่ออนไลน์ แต่ตัว physical store ก็ยังคงเดินหน้าขยายต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้กลุ่มเซ็นทรัลมีสาขาทั้งหมด 4,970 สาขา ใน 38 จังหวัด ใน 5 ปีข้างหน้าจะขยายให้ครอบคลุม 52 จังหวัด หรือมีทั้งหมด 7,509 สาขา และมีฟอร์แมตใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็ม รับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้น เช่น ท็อปพลาซ่า ศูนย์การค้าขนาดย่อมที่จะเข้าไปเจาะตลาดในหัวเมืองรอง เปิดที่อุดรฯและพิจิตรเมื่อปีที่ผ่านมา กำลังจะเปิดเพิ่มที่พะเยาและสิงห์บุรีในปีนี้ ตลอดจนการเติบโตในทวีปยุโรป อาทิ ห้างสรรพสินค้ารีนาเซนเตในอิตาลี, ห้างสรรพสินค้าอิลลุมในเดนมาร์ก ฯลฯ มีรายได้ในปีที่ผ่านมา 5.1 หมื่นล้านบาท และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยกลุ่มเซ็นทรัลได้เข้าไปทำธุรกิจค้าปลีกบิ๊กซี, ธุรกิจอาหาร ลานชีมาร์ท, ธุรกิจแฟชั่น โรบินส์ เดลาลา ซูเปอร์สปอร์ต และมาร์กแอนด์สเปนเซอร์, ธุรกิจฮาร์ดไลน์ เหงียนคิม และบีทูเอส, ธุรกิจออนไลน์แพลตฟอร์ม โดยปีที่ผ่านมามีรายได้ 4.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีสาขามากกว่า 700 แห่ง และมีรายได้เติบโต 4 เท่าตัว

Q : การลงทุนที่จะเกิดขึ้น

ในปีนี้ได้วางงบฯการลงทุนไว้ทั้งหมด 47,500 ล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมา 28% รองรับการขยายสาขาทั้งไทยและเวียดนาม 400 สาขา และรีโนเวตศูนย์การค้า ซึ่งยังไม่รวมงบฯสำหรับการควบรวมกิจการ รวมถึงโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสในพื้นที่สถานทูตอังกฤษ คาดว่าภายใน 5 ปี จะต้องใช้เม็ดเงินลงทุน 2-3 แสนล้านบาท เพื่อผลักดันให้กลุ่มเซ็นทรัลมีการเติบโตแบบเท่าตัว หรือมีรายได้ประมาณ 8 แสนล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะปิดยอดขายได้ที่เกือบ 4 แสนล้านบาท

Q : ความท้าทายของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในปีนี้

บรรยากาศการจับจ่ายของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น การเลือกตั้งที่จะมาถึง ตลอดจนการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะใน EEC ที่ไม่เพียงส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรม แต่รวมไปถึงกลุ่มบริการ การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ที่จะเติบโตไปพร้อมกัน ศักยภาพของเขตเศรษฐกิจดังกล่าวอาจเทียบเท่าได้กับกรุงเทพฯแห่งที่ 2 ซึ่งทางกลุ่มเซ็นทรัลก็มีความสนใจ และศึกษาที่จะขยายเข้าไปใน EEC เพื่อรับกับศักยภาพและโอกาสที่เกิดขึ้น โดยมองการเข้าไปลงทุนในกลุ่มเซอร์วิส เช่น ท่องเที่ยวและโรงแรม

“เรื่องเทคโนโลยี บางคนบอกว่ามันคือดิสรัปชั่น แต่เรามองว่าเทคโนโลยีเป็นตัว enhance เสริมให้เราดีขึ้นด้วยซ้ำ เมื่อก่อนเวลาไปเปิดสาขาภูเก็ต พื้นที่ก็จำกัด ไม่สามารถสร้างใหญ่ได้ พอออนไลน์มามันก็ไม่มีความจำกัดเรื่องพื้นที่ เรื่องแบรนด์แล้ว”

จากค้าปลีก สู่เทคคอมปะนี ยุทธศาสตร์ใหม่ของ “ทศ จิราธิวัฒน์” จะเปลี่ยนโฉมธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลแค่ไหน ต้องติดตาม