DDD ตั้งเป้ารายได้ปี 61 ที่ 2,167 ล้าน โต 30% โกยรายได้จีน

ดู เดย์ ดรีม (DDD) ตั้งเป้ารายได้ปี 2561 ที่ 2,167 ล้านบาท เติบโต 30-35% รักษา Gross Profit margin ให้ไม่ต่ำกว่า 68-72% Net Profit เพิ่มเป็น 26-28% หนุนสินค้าใหม่ 8 ตัว รุกขยายช่องทางขายผ่าน King Power ในช่วง Q1/61-Q2/61 เพิ่มอีก 4 สาขา (รางน้ำ-ภูเก็ต-ดอนเมือง-เชียงใหม่) บุกทำตลาดธุรกิจแบบซองรุกขายสินค้าผ่าน “โมเดิร์นเทรด-ดั้งเดิม” เข้าจับมือ Sino-Pacific กระจายสินค้าเพิ่มเป็น 10,000 ร้านค้าภายในปีนี้ จับกลุ่มลูกค้าอยากลอง-รายได้ไม่สูง พร้อมโกยรายได้ต่างประเทศจากจีนราว 650-700 ล้านบาท

นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บมจ.ดู เดย์ ดรีม หรือ DDD เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสเนลไวท์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2561 อยู่ที่ 2,167 ล้าน เติบโต 30-35% โดยจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit margin) ให้ไม่ต่ำกว่า 68-72% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit margin) เพิ่มเป็น 26-28% เป็นผลมาจากการที่บริษัทมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เดิมที่เพิ่มสูงขึ้นจากช่องทางการขายผ่าน king power srivaree และ king power suvarnabhumi airport โดยช่วงไตรมาส 4/2560 มียอดขายเกือบ 5-6% ของยอดขายทั้งหมด

“คาดว่าในปีนี้จะขยายช่องทางขายผ่าน King Power เพิ่มอีก 4 สาขา โดยในช่วงไตรมาส 1/2561 เปิดขายใน King Power ภูเก็ตและรางน้ำ และในช่วงไตรมาส 2/2561 เปิดขายใน King Power ดอนเมืองและเชียงใหม่” นายปิยวัชรกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทเริ่มทำธุรกิจแบบซองเพื่อออกจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าโมเดิร์มเทรดและดั้งดิมมากขึ้นเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้ไม่สูงมากนักแต่อยากลองใช้สินค้า ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อให้ตรงกับ “Positioning Brands” ของบริษัทคือ “Premium Mass” ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของบริษัทวางขายผ่านร้านค้าโมเดิร์มเทรด (Modern Trade) กว่า 13,000 ร้านค้า และวางขายผ่านร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) กว่า 1,300 ร้านค้า คาดว่าการเข้าไปจับมือกับ Sino-Pacific ซึ่งเป็นผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ที่จะช่วยให้กระจายสินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ร้านค้าได้ภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีรายได้รวมจากช่องทางนี้มาจาก 10 ตัวแทนสัดส่วนประมาณ 40% รวมถึงอาจจะมีการขยายสาขา Namu life shop เพิ่มอีก 3-4 สาขา หลังจากสาขาแรก (บีทีเอสสยาม) ทำยอดขายได้สูงถึง 8 แสน – 1 ล้านบาท/เดือน จึงคาดว่าภายใน 3 ปี จะขยายสาขาให้บริการราว 10-20 แห่งได้

นายปิยวัชร กล่าวว่า นอกจากนี้หลังจากบริษัทฯได้รับเครื่องหมายอาหารและยา (อย.) ในประเทศจีน ทำให้สามารถนำผลิตภัณฑ์ขยายไปยังช่องทางจัดจำหน่ายอื่นๆ เพิ่มเติมได้ ล่าสุดเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่าน “จูไห่ ดิวตี้ฟรี” (Zhuhai Duty Free) ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าแห่งใหม่ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายจากการส่งออกที่ 600-750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากจูไห่ ดิวตี้ฟรี ตั้งอยู่บริเวณชายแดนกงเป่ย ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างเมืองจูไห่ประเทศจีน และมาเก๊า โดยมียอดนักท่องเที่ยวหมุนเวียนสูงถึง 136 ล้านคนต่อปี หรือเฉลี่ย 250,000 คนต่อวันในช่วงวันธรรมดา และ 400,000 คนต่อวันในช่วงวันหยุด และจะนำไปสู่การขายสินค้าแบบออฟไลน์ในอนาคตเนื่องจากมูลค่าตลาดจีนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท เรายังถือว่าเป็นผู้เล่นรายเล็กอยู่ ซึ่งในปีนี้จะเน้นการทำ Online Marketing เพิ่มสูงขึ้น โดยเริ่มทำโฆษณาผ่าน We chat, Weibo ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาลง จึงได้มีการปรับสัดส่วนในปีนี้ในการใช้งบโฆษณาผ่านทีวี 45% ออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิมแค่ 16% และสื่อนอกบ้าน (OOH) 25%

“แน่นอนว่าในปีนี้เรายังมองการเติบโตที่ต่อเนื่องจากการขยายไปยังจุดจำหน่ายใหม่อย่างดิวตี้ฟรี รวมถึงช่องทางการจำหน่ายใหม่ ๆ ในประเทศอื่นๆ ซึ่งเรามองประเทศหลักที่จะเข้าไปลงทุนโดยจะเข้าไปทำแบรนด์ดิ้งในประเทศนั้น และหาพันธมิตรที่ดีที่มีศักยภาพเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ซึ่งเป็นโมเดลที่เราวางไว้” นายปิยวัชรกล่าว

นอกจากนี้ มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 8 ผลิตภัณฑ์ ทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย โดยประมาณ 4 ผลิตภัณฑ์ จะเป็นการปรับรีไซต์สินค้าแบบซอง ซึ่งอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการโปรโมทลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง