ส่องยุทธศาสตร์ โรบินสันไลฟ์สไตล์ หลังเปลี่ยนผู้บริหารใหม่

Robinson

เซ็นทรัล รีเทล ประกาศแต่งตั้ง “เลิศวิทย์ ภูมิพิทักษ์” ขึ้นรับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ พร้อมสานต่อยุทธศาสตร์เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนไทย

วันที่ 18 มิถุนายน 2567 เซ็นทรัล รีเทล ประกาศแต่งตั้ง “เลิศวิทย์ ภูมิพิทักษ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ พร้อมสานต่อกลยุทธ์ “Lifestyle and Experiential Community” ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนไทย

ลุยเสริมแม็กเนตใหม่ทั้งอีเวนต์-สวนสนุก-โซนช็อปปิ้ง Outdoor

นายเลิศวิทย์ ภูมิพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า แนวทางการบริหารจะเน้น 3 หัวใจหลัก คือ “ลูกค้า-คู่ค้า-สังคม” ซึ่งจะเป็นการยกระดับ ecosystem ของศูนย์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยกลยุทธ์ที่ประกอบไปด้วย

COMPLETE LIFESTYLE DESTINATION ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของกลุ่มลูกค้าเดิมและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่จากการเป็น เดสติเนชั่นที่ครบจบในที่เดียวทั้ง EAT-SHOP-PLAY ด้วยการสร้างประสบการณ์พิเศษอยู่เสมอให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Special Project การ Collaboration กับ World Class Artists

โดยจะเริ่ม Roll Out ในสาขาที่เป็น Flagship Store ตั้งแต่การตกแต่งบรรยากาศของศูนย์การค้า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การจัดทำของสมนาคุณ Exclusive Collection รวมถึงการสร้าง New Experiences อื่นๆ ในศูนย์การค้า พร้อมกับกิจกรรมและอีเวนต์กว่า 52 อีเวนต์ครอบคลุม 27 สาขาทั่วไทย ตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างรายได้ให้ร้านค้าตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ยังเดินหน้าสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทุกพื้นที่ทั้งกลางวันและกลางคืน อาทิ Night Walking Street, ลานนั่งเล่น, แฮงเอาต์ เพื่อดึงดูดลูกค้าตลอดวัน

ADVERTISMENT

พร้อมกันนี้จะรีโนเวต 14 สาขา แบ่งเป็นปรับโฉมใหญ่ 5 สาขา ได้แก่ สระบุรี, กาญจนบุรี, สมุทรปราการ, ราชบุรี และสุรินทร์ เน้นเพิ่มความสดใสและการใช้ชีวิตที่แตกต่างภายในศูนย์การค้า เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้า New Gen ที่ต้องการพื้นที่ในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น

รวมถึงขยายธุรกิจ SUNDAY สวนสนุกเด็กในร่ม ไปยังสาขาของศูนย์การค้า ทั่วไทย รวมถึงศูนย์อาหาร Food Park ที่มีแผนรีโนเวตมากกว่า 10 สาขา เสริมกำลังด้วยร้านสตรีตฟู้ดชื่อดังและร้านค้าในกระแสของแต่ละพื้นที่

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ยังมีโมเดลธุรกิจใหม่ในพื้นที่ของศูนย์การค้าในหลายสาขา เช่น Outdoor Mall และ Strip Mall สำหรับเดินช็อปปิ้งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และมีแผนที่จะนำไปใช้ในการต่อยอดธุรกิจในอนาคต

ดึงแบรนด์ดังเสริมทัพ พร้อมซัพพอร์ตคู่ค้าเดิม

INCLUSIVE GROWTH FOR PARTNERS มุ่งเน้นการทำธุรกิจครบวงจรแบบ B2B2C โดยเสริมกำลังด้านบุคลากรและรูปแบบการทำงานร่วมกับพันธมิตรร้านค้า รวมถึงบริการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ประกอบด้วย

โดยเสนอ Total Solutions แก่ร้านค้าแบบครบวงจร และมุ่งเน้นการสร้าง Business Success ให้แก่ร้านค้าเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพของธุรกิจในระยะยาว

พร้อมกับขยายธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะการสนับสนุนแบรนด์กลุ่มใหม่ ๆ ที่กำลังมาแรง อาทิ สุกี้ตี๋น้อย, โอ้กะจู๋, Shinkanzen Sushi เข้ามาอยู่ในศูนย์การค้า

รวมถึงสนับสนุนธุรกิจในพื้นที่และกลุ่ม Startup โดยเปิดพื้นที่ให้เจ้าของธุรกิจเอสเอมอี และกลุ่ม Startup เข้ามาออกร้านในศูนย์การค้า

หนุนชุมชน-สิ่งแวดล้อม

CREATE SUSTAINABLE COMMUNITY สร้างศูนย์กลางการใช้ชีวิตทั้งด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจในชุมชน และด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และเป็นศูนย์กลางของแต่ละจังหวัด

สร้างศูนย์กลางการศึกษาของชุมชน โดยผนึกสถาบันการศึกษา รวมถึงจัดกิจกรรม CSR ร่วมกับชุมชน อาทิ โครงการ “Funtastic English Class” ออกแบบความสุขสนุกยกคลาส มอบทุนการศึกษาเพื่อจัดจ้างครูชาวต่างชาติมาสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษที่โรงเรียนวัดศรีสุนทร มิตรภาพ 15 และ โรงเรียนบ้านฉลอง เป็นระยะเวลา 1 ภาคการศึกษา

เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจ-สร้างรายได้ในชุมชน โดยสนับสนุนการจัดจ้างแรงงาน การเปิดพื้นที่สำหรับจัดจำหน่ายสินค้าร่วมกับชุมชน ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น

เน้นการเป็นองค์กรค้าปลีกค้าส่งต้นแบบด้านความยั่งยืน ทั้งลดการใช้ทรัพยากรชาติ เพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อธุรกิจ รวมถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อม อาทิ

ภายในปี 2567 มีเป้าหมายติดตั้ง Solar Rooftop 7 เมกะวัตต์ เพิ่มใน 8 สาขา ได้แก่ ปราจีนบุรี, มุกดาหาร, บุรีรัมย์, แม่สอด, เพชรบุรี, ชัยภูมิ, บ่อวิน, ถลาง เป็นต้น เพื่อประหยัดพลังงานได้ 65.932 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ประหยัดค่าไฟฟ้าเป็นเงิน 255.74 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวน 32,306,675 Ton CO2 สอดรับนโยบายของ เซ็นทรัล รีเทล ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593

หลังปี 2560-มีนาคม 2567 ติดตั้ง Solar Rooftop ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์แล้วจำนวน 25 สาขา รวมพื้นที่ 48.89 เมกะวัตต์ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 538.33 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 73,145.48 Ton CO2

จัดทำระบบ Chiller Plant Management นำระบบปรับอากาศแบบ AI มาใช้ภายในศูนย์การค้าเพื่อช่วยลดการใช้ไฟฟ้า พร้อมกับการติดตั้ง High Efficiency Chiller เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ติดตั้ง EV Charging Station เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น อาทิ การจับมือร่วมกับ OR EV Station PluZ ขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกสาขา, การร่วมมือกับ Tesla ในการติดตั้ง Supercharger โดยเริ่มนำร่องที่สาขากำแพงเพชรเป็นที่แรกในเดือนธันวาคม 2566 และสาขากาญจนบุรี ในเดือนมีนาคม 2567 และมีแผนที่จะทยอยขยายการติดตั้งไปยังสาขาอื่น ๆ ต่อไปทั่วประเทศ

รวมถึงโครงการพิเศษ การจับมือร่วมกับ ไทวัสดุ สำหรับโครงการสนับสนุนพื้นที่ชุมชนรอบสาขาฉลอง ต.ฉลอง จ.ภูเก็ต ในการลงทุนทำรางระบายน้ำ เพื่อระบายน้ำเสียและช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังในชุมชน