“วอลมาร์ต” ทุ่ม 2 หมื่นล้าน เขย่าอีคอมเมิร์ซแดนภารต

คอลัมน์ Market Move

อินเดียถือเป็นสนามการค้าสำคัญอันดับ 2 รองจากจีน ด้วยโอกาสจากจำนวนประชากร 1.3 พันล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มอีคอมเมิร์ซซึ่งทุ่มเงินซื้อกิจการท้องถิ่นที่วางรากฐานด้านต่าง ๆ พร้อมอยู่แล้ว หวังชิงความได้เปรียบรอรับการเติบโตของตลาดที่จะขยายตัวเกือบ 6 เท่าจาก 3.85 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้วเป็น 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2569 เป็นผลจากการขยายตัวของอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนราคาถูก

โดยช่วงต้นปี 2 ยักษ์ค้าปลีกสัญชาติสหรัฐ “วอลมาร์ต” และ “อเมซอน” ต่างจ้องซื้อกิจการ “ฟลิบคาร์ต” (Flipkart) อีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ของอินเดียมีฐานผู้ใช้กว่า 100 ล้านราย ผู้ค้า 1 แสนราย และมียอดส่งสินค้าเดือนละ 8 ล้านชิ้น ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 39.5% ส่วนอเมซอนอินเดียตามมาเป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่ง 31.5% จนมีธุรกิจใหญ่เข้ามาร่วมถือหุ้นไม่ขาดสาย อาทิ ไมโครซอฟท์ของสหรัฐ เทนเซนต์ (Tencent) จากจีนและซอฟต์แบงก์ (Soft Bank) จากญี่ปุ่น

ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “วอลมาร์ต” ชิงปิดดีลซื้อกิจการ “ฟลิบคาร์ต” ไปด้วยมูลค่ารวม2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับหุ้นจำนวน 77% ของอีคอมเมิร์ซอินเดีย และสัญญาอัดฉีดเงินอีก 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงการเปิดรับซื้อหุ้นจากนักลงทุนรายย่อย นับเป็นดีลซื้อกิจการมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์อินเดีย

โดยดีลนี้ช่วยให้วอลมาร์ตที่มีธุรกิจค้าปลีกออฟไลน์ในอินเดียอยู่แล้วสามารถเข้าสู่เซ็กเมนต์อีคอมเมิร์ซแดนภารตได้ทันที พร้อมด้วยฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปต่อยอดได้ เช่นเดียวกับฝั่งฟลิบคาร์ตที่สามารถเข้าถึงโนว์ฮาวด้านการบริหารสินค้าและซัพพลายเชนเพื่อสร้างกลยุทธ์มัลติแชนเนล รวมถึงใช้เงินอัดฉีดเดินหน้าซื้อกิจการท้องถิ่นในกลุ่มของชำทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อขยายพอร์ตสินค้าและฐานลูกค้าตามเทรนด์ของตลาด รวมถึงลงทุนด้านโกดังและศูนย์กระจายสินค้า

นอกจากนี้วอลมาร์ตยังเสริมแกร่งธุรกิจใหม่นี้ด้วยการให้ผู้ถือหุ้นระดับบิ๊กเนมหลายราย อาทิ เทนเซนต์และไมโครซอฟท์ถือหุ้นในสัดส่วนเดิมต่อไป รวมถึงส่งสัญญาณว่าพร้อมเปิดรับผู้ถือรายใหม่เข้ามาร่วมธุรกิจ

สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ว่า หลังจากนี้ฟลิบคาร์ตมีโอกาสชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มได้อย่างรวดเร็วจนถึงระดับ 80%

อย่างไรก็ตามการรุกอีคอมเมิร์ซอินเดียของวอลมาร์ตอาจไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจากความเคลื่อนไหวนี้ได้จุดไฟการแข่งขันให้รุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อผู้เล่นบางรายซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้ถือหุ้นฟลิปคาร์ต ตัดสินใจเริ่มแผนลงทุนของตนเอง เช่น “อีเบย์” อดีตผู้ถือหุ้นและพันธมิตรทางธุรกิจของฟลิบคาร์ต ซึ่งประกาศว่าหลังขายหุ้นออกไปแล้วจะเริ่มธุรกิจในอินเดียเต็มตัว โดยเน้นการค้าขายแบบข้ามประเทศเป็นหลัก เช่นเดียวกับผู้เล่นอันดับ 3 “เพย์ กรุ๊ป” (Paytm Group) ที่มีอาลีบาบาและซอฟต์แบงก์หนุนหลัง รวมถึง“เนสเปอร์” (Naspers) บริษัทด้านสื่อและอินเทอร์เน็ตจากแอฟริกา

“เชื่อว่าความหลากหลายของกลุ่ม ผู้บริโภค ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอินเดียจะเป็นกุญแจสำคัญช่วยให้บริษัทสามารถแทรกเข้าสู่ตลาดและสร้างฐานลูกค้าของตนเองได้” อีเบย์ระบุในแถลงการณ์

จากนี้ต้องจับตาดูว่า การแข่งขันในวงการอีคอมเมิร์ซอินเดียจะดุเดือดแค่ไหนและไปในทิศทางใดต่อไป เช่นเดียวกับบรรดาผู้เล่นระดับรองทั้งหน้าเก่าและใหม่จะหาวิธีใดมารับมือเพื่อให้รอดจากศึกยักษ์ชนยักษ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น