“บิวตี้บุฟเฟต์” ชู 3 กลยุทธ์ใหม่ สู้ศึกเครื่องสำอาง 2.5 แสนล้านโตแรง

beauty
นายพิศาล ธาราพัฒน์

บิวตี้ คอมมูนิตี้ บุกหนักตลาดเครื่องสำอาง 2.5 แสนล้าน ประกาศปรับกลยุทธ์ใหม่ เดินหน้าแตกไลน์สินค้า-ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ดัน “BEAUTY BUFFET” สร้างกระแสความงาม พร้อมดึงพรีเซ็นเตอร์เบอร์ใหญ่-กลุ่ม KOL ระดับ Megainfluencer จนถึง Nanoinfluencer ร่วมสร้างการรับรู้กับคนรุ่นใหม่ หวังขยายฐานกลุ่ม Gen Z ลุยขยายช่องทางจำหน่าย “Modern Trade-General Trade” มากขึ้น ตั้งเป้ารายได้สิ้นปี 2567 โต 60% เป็น 700 ล้านบาท

นายพิศาล ธาราพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทยปี 2566 มีมูลค่าตลาดประมาณ 258,275 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 14.7% จากปี 2565 เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันกลับมาใส่ใจตัวเองและใช้เครื่องสำอางในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเติบโตตาม

ประกอบกับช่องทางการซื้อขายออนไลน์เข้ามามีบทบาท ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเครื่องสำอางได้สะดวก รวดเร็ว และเปรียบเทียบราคาได้ง่าย ผลักดันให้ผู้บริโภคซื้อเครื่องสำอางมากขึ้น โดยเมื่อจำแนกประเภทของผลิตภัณฑ์ความงามและของใช้ดูแลส่วนบุคคลตามมูลค่าตลาดปี 2566 พบว่าผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลมีสัดส่วนสูงสุดที่ 66.2% รองลงมา คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 16.5% เครื่องสำอาง 11.6% และน้ำหอม 5.6%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก เนื่องจากหน้าร้าน BEAUTY BUFFET ที่มีอยู่กว่า 300 สาขาในช่วงก่อนโควิด ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก ซึ่งช่วงการแพร่ระบาดห้างสรรพสินค้าต่างปิดบริการชั่วคราว ทำให้ต้องทยอยปิดตัวลง จนปัจจุบันมีจำนวนสาขาเหลืออยู่เพียง 48 สาขาเท่านั้น

“โดยผลกระทบที่ตามมาหลังจากทยอยปิดบางสาขา คือ ปัญหาเรื่องสต๊อกบวม เนื่องจากไม่มีช่องทางระบายสินค้าออก ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยเห็นความเคลื่อนไหวในการออกสินค้าใหม่ หรือการทำการตลาดของ BEAUTY BUFFET มากนัก เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเร่งระบายสต๊อกสินค้าออกไปก่อน ประกอบกับต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ด้วย”

ชู 3 กลยุทธ์ใหม่-สร้างการเติบโต

ล่าสุด ในปี 2567 BEAUTY BUFFET เตรียมที่จะกลับมาสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผ่านการปรับกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1.เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ เช่น การออกโปรดักต์ใหม่, การทำการตลาดโดยเน้นโปรดักต์มากขึ้น, รีโนเวตหน้าร้านให้ทันสมัยมากขึ้น และการขยายช่องทางขายใหม่ ๆ

ADVERTISMENT

2.บริหารจัดการต้นทุน เช่น เพิ่มกำไรขั้นต้นจาก 50% เป็น 52%, สินค้าออกใหม่ต้องมีมาร์จิ้นไม่ต่ำกว่า 70% และลดต้นทุนโลจิสติกส์จาก 4.46% เหลือ 4%

3.เพิ่มความสามารถบุคลากร เช่น เพิ่มจำนวนพนักงานจาก 200 คน เป็น 233 คน

ADVERTISMENT

ทุ่มงบฯการตลาด-เจาะ Gen Z

นายพิศาลกล่าวต่อว่า โดยการสร้างแบรนด์ในปีนี้ บริษัทเตรียมเพิ่มงบฯการตลาดจากเดิม 3% ของยอดขายรวมเป็น 6% ของยอดขายรวม เพื่อเน้นสื่อสารกับกลุ่ม Gen Z ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบในแพลตฟอร์มออนไลน์

โดยจะใช้ KOL และพรีเซ็นเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่แบรนด์ไม่เคยใช้มาก่อน เข้ามาสื่อสารถึงคุณสมบัติ ความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์ที่แมตช์กับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งสร้างกิจกรรมที่สนุกสนาน เข้าถึงง่าย เพื่อสร้างความสดใสให้กับแบรนด์มากขึ้น

“เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าของ BEAUTY BUFFET ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตมาพร้อม ๆ กับแบรนด์ตั้งแต่ก่อตั้ง ซึ่งการที่จะปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่ม Gen Z ได้ก็ต้องหันมาปรับทั้งในเรื่องตัวสินค้า และช่องทางการสื่อสาร เพราะด้วยพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนไว เมื่อเห็นสินค้าใหม่ หรือโปรโมชั่นผ่านสื่อต่าง ๆ ก็จะชอบหันไปทดลองใช้ มากกว่าที่จะยังมี Loyalty กับแบรนด์เดิม จึงต้องเน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านกลุ่ม KOL และพรีเซ็นเตอร์รุ่นใหม่ ๆ”

ดึงพรีเซ็นเตอร์เบอร์ใหญ่

โดยไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์” มาช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่มากขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Beauty Buffet Scentio ซึ่งรับผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนรุ่นใหม่

ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 3 บริษัทเตรียมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์นักร้องหญิงชื่อดัง พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Beauty Buffet Carissa Serie ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาสูตรขึ้นใหม่ เน้นการบำรุงผิว ด้วยสารสกัดจากมะม่วงหาวมะนาวโห่ โดยคาดว่าจะทำยอดขายอยู่ที่ 30-35% ของกลุ่มโปรดักต์ใหม่

นอกจากนี้ยังเตรียมออกโปรดักต์ใหม่เพิ่มอีกประมาณ 30 ไอเท็ม โดยวางเป้าให้สินค้าใหม่สร้างยอดขายคิดเป็น 19% ของยอดขายรวม

ขณะเดียวกันยังใช้ KOL ในทุกระดับตั้งแต่ Megainfluencer จนถึง Nanoinfluencer ซึ่งวางเป้าไว้ประมาณ 500 คน โดยจะเน้นไปที่แพลตฟอร์ม TikTok เป็นหลัก

ขยายช่องทาง-เพิ่มสัดส่วนรายได้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า สำหรับช่องทางการขายในปีนี้ บริษัทเน้นทำการตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น โดยวางเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายในประเทศเป็น 70-75% และส่งออกเป็น 25-30% จากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายแบ่งเป็นส่งออก 33% และขายในประเทศ 67% ซึ่งการขายในประเทศแบ่งสัดส่วนตามช่องทางการขาย คือ รีเทลหน้าร้าน BEAUTY BUFFET 47.16%, อีคอมเมิร์ซ 8.83%, Modern Trade 8.24% และ General Trade 1.23%

โดยปีนี้จะเน้นกระจายช่องทางจำหน่ายไปที่ Modern Trade และ General Trade เช่น บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ วัตสัน CJ Express ขณะที่ช่องทางอื่น ๆ อย่างช่องทางร้าน BEAUTY BUFFET SHOP มีแผนขยายให้ครบ 50-60 สาขา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโต โดยสิ้นปีตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 60% หรือประมาณ 700 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 441 ล้านบาท