
ไอริส โอยามะ แบรนด์สินค้าญี่ปุ่นพลิกวิกฤตเยนอ่อน-ค่าครองชีพสูงเป็นโอกาส สปีดนำเข้าสารพัดสินค้าใหม่แบบรายเดือน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า รุกประเทศไทยเพิ่ม หวังตั้งเสาหลักรายได้ใหม่ชดเชยดีมานด์หน้ากากอนามัยหดตัว พร้อมปั้นไทยเป็นฮับสปริงบอร์ดรุกอาเซียน ประเดิมเจาะสิงคโปร์ ก่อนรุกต่อเวียดนาม มั่นใจปี 2567 นี้เติบโตอย่างน้อย 10%
นายมาซาทากะ อุนโนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอริส โอยามะ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายของใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า แบรนด์ “ไอริส โอยามะ” (Iris Ohyama) จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้ยังมีความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มค่าครองชีพที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคทั้งในไทยและประเทศอื่น ๆ ต่างใช้เงินจับจ่ายเฉพาะของจำเป็นอย่างปัจจัย 4 กันมากขึ้น โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญการอ่อนค่าของเงินเยน
ขณะเดียวกันการระบาดของโรคโควิด-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ดีมานด์หน้ากากอนามัยซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าหลักของบริษัทลดลงไปมาก แม้จะมีแนวโน้มว่าจะเกิดวัฒนธรรมการใส่หน้ากากอนามัยในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับในญี่ปุ่น แต่ตลาดอาจไม่ใหญ่เท่าช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทต้องปรับยุทธศาสตร์รับมือ ด้วยการสร้างแหล่งรายได้ใหม่
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอริส โอยามะ ย้ำว่า ท่ามกลางความท้าทายนี้ยังมี 2 ช่องว่างที่สามารถพลิกให้เป็นโอกาสได้ นั่นคือการอ่อนค่าของเงินเยนที่ทำให้บริษัทสามารถนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นด้วยต้นทุนที่ดีขึ้น ช่วยให้สามารถตั้งราคาสินค้ารุ่นใหม่ที่เปิดตัวในปี 2567 นี้ในระดับที่ผู้บริโภคชาวไทยจับต้องได้ง่ายขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน แนวโน้มค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยังทำให้ราคาสินค้าในตลาดขยับขึ้นมา จนช่องว่างราคาระหว่างสินค้าทั่วไปในตลาดและสินค้าแบรนด์ ไอริส โอยามะ แคบลง ช่วยให้ศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทสูงขึ้น
“ความเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 ด้านนี้ เปิดโอกาสให้เราสามารถนำเสนอสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่ราคาย่อมเยา และผู้บริโภคชาวไทยจับต้องได้ง่ายขึ้น”
ปั้นฮีโร่โปรดักต์ใหม่
โดยสินค้าไฮไลต์ที่บริษัทจะผลักดันในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้ จะเป็นกลุ่มปัจจัย 4 อย่าง อาหารและเครื่องดื่ม นำโดยข้าวญี่ปุ่นหุงสำเร็จพร้อมทาน นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ชูจุดเด่นด้านรสชาติจากคุณภาพข้าว กระบวนการหุงและแพ็กแบบพิเศษสามารถเก็บได้นาน 13 เดือน รวมถึงราคาจับต้องได้ที่แพ็กละประมาณ 28-30 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับคู่แข่งในตลาดที่มีราคาประมาณ 25 บาท
ทั้งนี้ มุ่งเจาะช่องว่างของตลาดข้าวพร้อมทานในไทยที่ยังไม่มีผู้เล่นที่เน้นจุดขายด้านรสชาติมากนัก พร้อมตอบโจทย์วิถีชีวิตเร่งรีบของคนเมืองวัยทำงาน โดยเริ่มวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์แล้ว และเตรียมรุกเข้าช่องทางออฟไลน์ อาทิ บิ๊กซี โลตัส กูร์เมต์ ท็อปส์ ฯลฯ
สินค้าอีกตัวคือ น้ำแร่ และน้ำแร่อัดก๊าซ จากแหล่งน้ำใต้ภูเขาไฟฟูจิ และนำเข้าจากญี่ปุ่นเช่นกัน เน้นจุดขายด้านความสะดวกจากการใช้ขวดพลาสติก แต่ราคาจับต้องได้ง่ายกว่าคู่แข่งในตลาด ตามเป้าชิงตลาดน้ำแร่อัดก๊าซในไทย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้รับความนิยมสูงขึ้น หลังที่ผ่านมาน้ำแร่อัดก๊าซเริ่มได้รับความนิยมในญี่ปุ่นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าเทรนด์นี้จะแพร่มายังไทยด้วย
โดยจะเริ่มวางจำหน่ายช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ พร้อมโหมการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้และฐานลูกค้า อาศัยต่อยอดภาพลักษณ์ด้านสุขภาพ-คุณภาพจากสินค้าหน้ากากอนามัย เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่น ๆ มาสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค ตามแผนผลักดันให้สินค้าอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาเป็นฮีโร่โปรดักต์ ร่วมกับกลุ่มหน้ากาก เครื่องทำความสะอาด และพัดลมหมุนเวียนอากาศ ที่เป็นฮีโร่โปรดักต์ในปัจจุบัน
“แม้การนำเข้าน้ำในรูปแบบขวดจะท้าทายจากขนาดที่ทำให้เกิดช่องว่างในตู้คอนเทนเนอร์ แต่เราใช้การมีสินค้านำเข้าหลากหลายมาเป็นข้อได้เปรียบ ด้วยการแพ็กสินค้าหลายชนิด เช่น สำลี ลงในตู้คอนเทนเนอร์เดียวกับน้ำดื่ม ช่วยให้สามารถเฉลี่ยต้นทุนการนำเข้าได้ดีขึ้น จนสามารถตั้งราคาสินค้าในระดับจับต้องง่ายได้”
ระดมสินค้าใหม่รายเดือน
นอกจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ตลอดช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องแบบรายเดือน เดือนละหลาย SKU และหลายหมวดสินค้า เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในบ้าน สินค้าสัตว์เลี้ยง อุปกรณ์เก็บของ ฯลฯ
หลังจากก่อนหน้านี้เปิดตัวสินค้าไปแล้วหลายตัว อาทิ พัดลมหมุนเวียนอากาศรุ่นใหม่ ซึ่งมาตอบโจทย์กระแสการเปิดพัดลมร่วมกับเครื่องปรับอากาศเพื่อประหยัดค่าไฟเมื่อช่วงฤดูร้อน และการตากผ้าในร่มในช่วงฤดูฝนนี้ รวมถึงยังมีเครื่องดูดฝุ่นมือถือไร้สาย ไม้ถูพื้นไฟฟ้า เครื่องทำความสะอาดพรมแบบมือถือ และอื่น ๆ
ใช้ไทยเป็นฮับรุกอาเซียน
ขณะเดียวกันนอกจากลูกค้าครัวเรือนแล้ว ปีนี้บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจ B2B โดยจะขยายฐานลูกค้าเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มโรงพยาบาล และร้านอาหาร ด้วยการปรับยุทธศาสตร์การขายจากสินค้า เช่น หลอดไฟ LED เป็นการขายโซลูชั่นประหยัดพลังงาน พร้อมกับซินเนอร์ยี่ไลน์สินค้าภาคครัวเรือนนำสินค้ากลุ่มอาหาร-เครื่องดื่มมาใช้เป็นหัวหอกในการเจาะเข้าสู่ตลาดให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก
ทั้งนี้ เป็นไปตามเป้าบาลานซ์ความเสี่ยงกับฐานลูกค้า B2B เดิมที่เน้นกลุ่มโรงงานของผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ขณะนี้มีแนวโน้มรัดเข็มขัดชะลอการลงทุนในต่างประเทศลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ
และไม่เพียงการขยายธุรกิจในไทย แต่บริษัทยังเริ่มแผนใช้ไทยเป็นฮับเพื่อรุกตลาดอาเซียนด้วย เริ่มจากสิงคโปร์เป็นประเทศแรก ซึ่งขณะนี้ตั้งโกดังสินค้า พร้อมกับทำตลาดสร้างการรับรู้ให้แบรนด์และสินค้าทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ และขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโอกาสและยุทธศาสตร์การรุกตลาดเวียดนามในช่วงปี 2568
โดยการเลือกไทยเป็นศูนย์กลางสำหรับต่อยอดรุกตลาดอาเซียนนี้ เนื่องจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเห็นศักยภาพของทีมงานในไทย ซึ่งสามารถทำยอดขายได้สูงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นายมาซาทากะย้ำว่า ด้วยยุทธศาสตร์และทัพสินค้าใหม่อย่าง กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการโหมทำการตลาดต่อเนื่องตลอดช่วงครึ่งปีหลัง จะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 10% จากรายได้ 850 ล้านบาท เมื่อปี 2566 รวมถึงสามารถสร้างแหล่งรายได้ใหม่มาทดแทนหน้ากากอนามัยที่หดตัว