
สัมภาษณ์
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาที่วงการภาพยนตร์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งด้วยปริมาณและความหลากหลายของภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉาย และผลตอบรับของผู้ชมที่พากันไปควักกระเป๋าซื้อตั๋วเข้าไปชมในโรง สะท้อนจากลำพังครึ่งแรกของปี 2567 นี้ มีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทไปแล้ว ถึง 3 เรื่อง
หนึ่งในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จคือ 4 Kings 2 ภาพยนตร์ภาคต่อผลงานของ เนรมิตรหนัง ฟิล์ม บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์หน้าใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2564 หรือเพียง 3 ปี แต่มีไลน์อัพภาพยนตร์ประสบความสำเร็จสูงอย่าง 4 Kings ที่ทำรายได้ 101 ล้านบาท หลังฉายเพียง 11 วัน ก่อนตามด้วย 4 Kings 2 ที่กวาดรายได้ 240 ล้านบาท รวมถึงยังมีผลงานส่งลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยออกขายในต่างประเทศตั้งแต่กลุ่มประเทศอาเซียน ไปจนถึงยุโรปและสหรัฐอเมริกา จนบริษัทมีรายในปี 2566 มากกว่า 300 ล้านบาท
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “กนกวรรณ วัชระ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนรมิตรหนัง ฟิล์ม จำกัด ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยสุดฮิตอย่าง 4 Kings และ 4 Kings 2 รวมถึงภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่เตรียมออกฉายในปี 2567 นี้ ถึงยุทธศาสตร์การวางแผนผลิตภาพยนตร์ไทยให้ปังทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงแนวทางธุรกิจที่จะสร้างการเติบโตของรายได้จาก 400 ล้านบาทในปี 2567 นี้ ไปสู่เป้าหมายรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2571-2572 หรืออีก 4-5 ปีข้างหน้า
หนังไทยแรงไกลทั่วโลก
“กนกวรรณ” ฉายภาพแนวโน้มในวงการภาพยนตร์ไทยว่า ตั้งแต่หลังการระบาดของโรคโควิด-19 หรือประมาณปี 2566 เป็นต้นมา ผู้ชมชาวไทยเปิดรับภาพยนตร์ไทยมากขึ้นกว่าก่อนการระบาดอย่างชัดเจน สะท้อนจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 นี้ มีภาพยนตร์ไทยทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท แล้วถึง 3 เรื่อง ส่งผลให้ปี 2567 นี้ เม็ดเงินจากภาพยนตร์ไทยน่าจะมีสัดส่วนถึง 60-70% ของตลาด จากเมื่อช่วงก่อนปี 2566 ที่มีสัดส่วน 40-50% โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด มากกว่าพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล
ความเปลี่ยนแปลงนี้เชื่อว่าเป็นผลจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ภาพยนตร์ไทยเข้าถึงง่าย เนื่องจากเนื้อเรื่องหรือธีมใกล้ชิดกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย และการเล่าเรื่องไม่ซับซ้อน และคนวัยรุ่น-วัยทำงานยังมองว่าการชมภาพยนตร์เป็นการพักผ่อน และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอื่น ๆ อย่าง ช็อปปิ้ง ทานอาหาร จึงยังจับจ่ายแม้สภาพเศรษฐกิจท้าทาย อีกปัจจัยคือขณะนี้เป็นจังหวะเวลาที่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเริ่มลดความร้อนแรงลง เปิดช่องให้ภาพยนตร์ไทยสามารถแสดงความโดดเด่นและดึงผู้ชมได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันความนิยมภาพยนตร์ไทยยังขยายไปทั่วโลก เห็นได้จากความสำเร็จในการขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยของบริษัท ซึ่งมีผู้ซื้อทั้งในอาเซียน ยุโรป ไปจนถึงละตินอเมริกา เนื่องจากความเข้าถึงง่ายของเนื้อหาและต้นทุนสร้างไม่สูง ตัวอย่าง เช่น ภาพยนตร์ 4Kings ได้รับความนิยมสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน
เส้นทางสู่รายได้ 1,000 ล้าน
เนรมิตรหนัง ฟิล์ม จะต่อยอดความสำเร็จของภาพยนตร์ 4Kings ทั้ง 2 ภาค และกระแสเปิดรับภาพยนตร์ไทยทั้งในและนอกประเทศ เร่งสปีดธุรกิจสร้างการเติบโตสู่เป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2571-2572 ด้วยการเติบโตแบบก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท จากปี 2567 นี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 400 ล้านบาท รวมทั้งอาจนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเม็ดเงินมาต่อยอดธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับยุทธศาสตร์เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้นี้จะเริ่มจากการวางไลน์อัพภาพยนตร์ ซึ่งจะเพิ่มความหลากหลายของแนวเรื่องมากขึ้นกว่าแนวแอ็กชั่นนักเลงอย่าง 4Kings อาทิ แนวไซไฟผจญภัย, ผี-สยองขวัญ, โรแมนติก-คอเมดี้, แนววาย ฯลฯ โดยจะมีการสร้างไลบรารี่ หรือสต๊อกภาพยนตร์ เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ควบคู่กับการทำวิจัยตลาด-ผู้ชมทั้งไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหาแนวภาพยนตร์ที่มีแนวโน้มมาแรง
แล้วจึงเลือกสร้างภาพยนตร์ที่เหมาะสมทั้งการฉายในประเทศ, ขายลิขสิทธิ์ต่างประเทศ, การผลิตสินค้าพรีเมี่ยมและของสะสม (Merchandise) และการเผยแพร่ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยใช้เวลา 8-12 เดือน/เรื่อง ตามแนวทางเพิ่มศักยภาพการสร้างรายได้
พร้อมกับเพิ่มความยืดหยุ่นด้านการหางบฯและสร้างรายได้ ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนเอง จับมือพันธมิตรไทย-ต่างชาติ การหาสปอนเซอร์จากภาคส่วนต่าง ๆ คาดว่าจะใช้งบฯสร้างประมาณ 20-25 ล้านบาท/เรื่อง
เล็งต่อยอดสารพัดธุรกิจ
ทั้งนี้ วางเป้าระยะ 3-5 ปี จะส่งภาพยนตร์เข้าฉายไตรมาสละ 1 เรื่อง หรือ 3-4 เรื่อง/ปี โดยมีปี 2567 นี้เป็นต้นแบบ ซึ่งจะมีภาพยนตร์เข้าฉาย 5 เรื่องประกอบด้วย “แดนสาป” แนวผีเรื่องแรกของค่ายซึ่งเข้าฉายแล้ว, “ตาคลี เจเนซิส” แนวไซไฟ กำหนดเข้าฉาย 12 กันยายน, “สวัสดีวันจันทร์ (ส)” แนวโรแมนติก-คอเมดี้ กำหนดเข้าฉาย-31 ตุลาคม และปิดท้ายด้วย “วัยหนุ่ม 2544” แนวเข้มข้น ดุดัน กำหนดเข้าฉาย 28 พฤศจิกายน หลังจากส่งเรื่องมอร์ริสัน แนวดราม่า เข้าฉายเมื่อเดือนเมษายน โดยใช้งบฯสร้างและโปรโมตรวม 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ต่างประเทศมาฉายในช่วงโค้งท้ายอีก 2-3 เรื่อง คาดว่าจะสร้างรายได้รวม 400 ล้านบาท เติบโต 15% แบ่งเป็นรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศไทย 50% รายได้จากต่างประเทศ 30% และบริการสตีมมิ่ง 20%
โดยในระยะยาวมีแผนส่งภาพยนตร์ไทยรุกตลาดจีน และอินเดียด้วย รวมถึงอาจต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ เช่น โมเดลลิ่ง เพื่อปั้นนักแสดงในสังกัดมาสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ และบริการสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ให้ก่อนถ่ายต่างชาติ เป็นต้น รวมถึงในระยะยาวเมื่อโมเดลธุรกิจที่วางไว้มั่นคงแล้ว อาจนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อนำเม็ดเงินมาต่อยอดธุรกิจ เช่น การผลิตซีรีส์ อีกด้วย
“จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป คู่แข่งอย่างสตรีมมิ่งมีมากขึ้น แนวทางการทำงานจึงต้องมุ่งไปข้างหน้า เพราะนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ถือเป็นการร่วมส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยไปสู่ต่างประเทศอีกด้วย”