
เนสท์เล่ มั่นใจดีมานด์ตลาดกาแฟ 3 หมื่นล้านบาท ทั้งสำเร็จรูป-กระป๋องยังแรง ลุยต่อครึ่งหลังปี’67 โหม 3 ยุทธศาสตร์พร้อมซุ่มเตรียมสินค้าใหม่เจาะเซ็กเมนต์กาแฟเย็น หวังชิงคอกาแฟรุ่นใหม่ ย้ำบัลลังก์แชมป์
นายโจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดกาแฟในไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทั้งกลุ่มกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟพร้อมดื่ม โดยตามข้อมูลของนีลเส็นไอคิว ตลาดกาแฟสำเร็จรูปในไทยช่วงไตรมาสแรกปี’67 มีมูลค่า 5,700 ล้านบาท เติบโต 5% เทียบกับไตรมาสแรกของปี’66 ไปในทิศทางเดียวกับตลาดกาแฟพร้อมดื่ม หรือ RTD ซึ่งข้อมูลของ คันทาร์ เวิลด์พาแนล ชี้ว่า มีมูลค่า 3,800 ล้านบาท และเติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความสะดวกสบายและอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงหน้าร้อน
โดยหนึ่งในเทรนด์มาแรงและเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจ คือ ความนิยมดื่มกาแฟเย็น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 47% ของการดื่มกาแฟทั้งหมดในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ สะท้อนจากการเติบโตของร้านกาแฟ และยอดขายผลิตภัณฑ์กาแฟเย็นของบริษัทที่เติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความท้าทายด้านซัพพลายเมล็ดกาแฟลดลงทั่วโลก เพราะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยคาดว่า ผลผลิตเมล็ดกาแฟทั่วโลกอาจลดลงถึง 50% ภายในปี 2050
เพื่อรับมือความท้าทายและชิงฐานนักดื่มรุ่นใหม่ในเซ็กเมนต์กาแฟเย็น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้ บริษัทจะใช้กลยุทธ์ 3 ด้าน ประกอบด้วย การส่งทัพสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์กาแฟเย็นรูปแบบต่าง ๆ ทั้งผง กระป๋อง ฯลฯ หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ผู้ดื่มกาแฟรุ่นใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้เปิดตัว กาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม เนสกาแฟ โกลด์ อเมริกาโน่ และลาเต้ รวมทั้ง เนสกาแฟ ฮันนีเลมอน
พร้อมกันนี้จะทุ่มงบฯ 620 ล้านบาท เพื่อสื่อสารและสร้างแบรนด์ผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงขยายขอบเขตแคมเปญ “Make Your World” ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า เน้นเปลี่ยนภาพลักษณ์จากเครื่องดื่มประจำวัน มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจ
สำหรับกลยุทธ์ที่สอง เนสกาแฟมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การดื่มกาแฟชั้นเลิศด้วยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคชาวไทย ล่าสุดเนสกาแฟได้เปิดตัวกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มระดับพรีเมี่ยม เนสกาแฟ โกลด์ อเมริกาโน่ และลาเต้ รวมทั้งเนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม ฮันนีเลมอน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภค
อีกกลยุทธ์คือ การเกษตรเชิงฟื้นฟู หรือ Regenerative Agriculture ภายใต้โครงการ “เนสกาแฟ แพลน 2030” ซึ่งจะช่วยรับมือความท้าทายด้านซัพพลายเมล็ดกาแฟ ด้วยการสนับสนุนให้เกษตรกรพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ
ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความรู้ด้านเทคนิคในการทำสวนกาแฟอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการผนึกความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย หรือ GIZ ในการจัดทำหลักสูตร Farmer Business School ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีแนวคิดของผู้ประกอบการเกษตรกรรม
นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้การสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย เพื่อส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงฟื้นฟูในสวนกาแฟให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาต้นกล้ากาแฟที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในประเทศไทย และได้กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีเหล่านี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วกว่า 4 ล้านต้น