สัมภาษณ์
“ยืดเปล่า” แบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทยขวัญใจวัยรุ่น ตัดสินใจยกระดับตัวเองจากแบรนด์นีชของกลุ่มวัยรุ่นไปสู่แบรนด์มหาชน ด้วยยุทธศาสตร์ที่ไม่เพียงการเปิดตัวเสื้อโปโล แต่ยังมาพร้อมนวัตกรรมที่แบรนด์ย้ำว่าจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของวงการแฟชั่นด้านการตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ครอบคลุมอย่างไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “ทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยว” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เริ่มใหม่ จำกัด เจ้าของแบรนด์ยืดเปล่า ถึงการตัดสินใจยกระดับแบรนด์ แนวคิดเบื้องหลังการปั้นบรรทัดฐานใหม่ให้วงการแฟชั่น การรับมือความท้าทายที่ตามมา และทิศทางในอนาคตช่วง 1-3 ปีจากนี้
ปั้นบรรทัดฐานใหม่
“ทนงค์ศักดิ์” เปิดเผยว่า การออกแบบเสื้อโปโล TAILOR COOL POLO INNOVATION ครั้งนี้ไม่เพียงต้องการให้เป็น New S-curve ที่สร้างการเติบโตให้ธุรกิจด้วยการต่อยอดฐานลูกค้าเสื้อยืดที่ปัจจุบันเติบโตจากวัยรุ่นเข้าสู่วัยทำงาน พร้อมขยายฐานลูกค้าวัย 25-34 ปีเท่านั้น
แต่ยังต้องการสร้างบรรทัดฐานใหม่เรื่องไซซ์เสื้อ ให้ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง หลังระบบไซซ์เดิมอย่าง S, M, L, XL ฯลฯ ซึ่งความยาวจะขยายตามขนาด ทำให้ไม่สามารถตอบ Pain Point ของผู้บริโภคซึ่งมีรูปร่างหลากหลายทั้งส่วนสูง น้ำหนัก
สะท้อนจากทั้งประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นคนตัวสูง 185 ซม. แต่ผอมบางน้ำหนักเพียง 58 กก. ทำให้หากใส่เสื้อที่กระชับพอดีตัวแขนและเอวจะสั้นเกินไป แต่หากความยาวพอดีก็จะหลวมเกินไปแทน เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ร่างกายใหญ่มักจะต้องยอมใส่เสื้อที่มีความยาวมากเกินไป เช่น แขนยาวถึงข้อศอกจนเหมือนชุดนอน
เพื่อตอบโจทย์นี้จึงใช้เวลากว่า 2 ปี พัฒนาระบบไซซ์แบบใหม่ที่จะสามารถแก้ Pain Point นี้ได้ โดยในกระบวนการพัฒนานี้ ใช้แนวทางการมีผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centric คู่กับการเปิดรับความร่วมมือทั้งบริษัท โดยใช้พนักงานจากทั้งออฟฟิศ หน้าร้าน โกดัง ขนส่ง ฯลฯ จำนวนกว่า 100 คน มาร่วมการฟิตติ้งและให้ฟีดแบ็กเนื้อผ้าเนื่องจากเชื่อว่า พนักงานรู้จักลูกค้าเป็นอย่างดีผ่านการทำงาน รวมถึงยังรู้จักเนื้อผ้าดีที่สุดจากการใส่เป็นประจำ
จนออกมาเป็นเสื้อโปโล TAILOR COOL POLO INNOVATION ที่นำส่วนสูง 3 กลุ่ม คือ 150-160 ซม., 160-175 ซม. และ 175-189 ซม. มาใช้คู่กับไซซ์ S, M, L, XL ฯลฯ ทำให้มีขนาดหลากหลายมากถึง 20 ไซซ์ เชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันเพื่อตอกย้ำจุดเด่นด้านความหลากหลายแบบสุดทาง จึงตัดสินใจผลิตให้มีสีสันมากถึง 18 เฉดสี เพื่อให้เข้าได้กับทุกสีผิวและทุกสไตล์ของผู้บริโภค
ส่วนผ้าด้านในเป็นพอลิเอสเตอร์ทอลายตาข่ายช่วยระบายอากาศ ผสมกับด้านนอกที่เป็นคอตตอนช่วยให้แห้งไว เพื่อให้ใส่ได้ในทุกรูปแบบการแต่งตัวทั้งทางการ กึ่งทางการ ไปจนถึงการเล่นกีฬา และวางจำหน่ายในราคา 590 บาท เพื่อย้ำจุดเด่นด้านความจับต้องง่าย คุ้มค่าคุ้มราคา เนื่องจากเสื้อโปโลทั่วไปมักมีราคา 790-990 บาท
ทั้งหมดนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของบริษัทว่า ทุกคนต้องสามารถเลือกใส่เสื้อที่เหมาะกับตัวเองได้ เพราะทุกคนดูดีได้หากได้ใส่เสื้อที่เหมาะสมพอดีตัว ขณะเดียวกันยังต้องมีความ Cool แบบรอบด้าน ทั้งเนื้อผ้าที่ใส่แล้วเย็นและความมั่นใจจากดีไซน์และสีสัน
แก้โจทย์บริหารสินค้า 360 รูปแบบ
“ทนงค์ศักดิ์” ยอมรับว่า การผลิตเสื้อโปโลที่มี 18 ไซซ์และ 20 สี ซึ่งเท่ากับมีความหลากหลายมากถึง 360 รูปแบบ โดยยังคงระดับราคาจับต้องง่ายที่ 590 บาทนี้ มีความท้าทายจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่การผลิต ขนส่ง บริหารสต๊อกสินค้าไปจนถึงหน้าร้าน
สำหรับการรับมือนั้น จะสร้าง Economy of Scale ด้วยเครือข่ายสาขาปัจจุบันที่มี 62 สาขา และจะเพิ่มเป็น 70 สาขาในสิ้นปี 2567 นี้ หลังการเปิดสาขาเพิ่มในห้างต่าง ๆ ร่วมกับข้อมูลอินไซต์ของลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุมต้นทุน
นอกจากนี้เสื้อโปโลรุ่นนี้วางโพซิชั่นให้เป็นสินค้าเรือธงจึงยืดหยุ่นให้สามารถมีต้นทุนที่สูงและสัดส่วนกำไรต่ำกว่าสินค้าอื่น แลกกับการขายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพราะมั่นใจว่าเมื่อลูกค้าได้ลองใส่แล้วจะกลับมาซื้อเพิ่มอีกแน่
โดยช่วง 5 เดือนที่เหลือของปี 2567 นี้ วางเป้ายอดขายไว้ที่ 5 แสนตัว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ จะสร้างการรับรู้ย้ำจุดเด่นด้านความหลากหลาย และกระตุ้นยอดขายด้วยการทุ่มงบฯกว่า 20 ล้านบาท จัดแคมเปญ “Your Size Fits All ยืดให้ทุกไซซ์ Pride ให้ทุกตัวตน” เปิดออดิชั่นโมเดล 40 คนที่มีความหลากหลาย ทั้งเรื่องรูปร่าง วัย เพศ และสีผิว มาเป็นตัวแทนความหลากหลายนำเสนอผ่านโฆษณาทั้งออนไลน์และออฟไลน์
เล็งโกอินเตอร์ใน 3 ปี
จุดหมายดั้งเดิมของยืดเปล่า คือการสร้างแบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทยที่คุณภาพระดับโลก ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 3-5 ปี เพื่อไปถึงระดับดังกล่าวและเริ่มรุกตลาดต่างประเทศได้ ดังนั้นระหว่างนี้จะโฟกัสกับตลาดในไทย ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญสูง และยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมาก ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยโฟกัสกับสาขาในศูนย์การค้าซึ่งมีศักยภาพจากการเป็นศูนย์รวมผู้คน พร้อมกับมองหาโอกาสเปิดสาขาสแตนด์อะโลนไปพร้อมกัน
พร้อมกับการเก็บฟีดแบ็กจากลูกค้าสมาชิกที่ปัจจุบันมีมากกว่า 1 ล้านคน เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ให้ยืดเปล่า ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์แฟชั่นแบบ Total Look ที่มีสินค้าครบตั้งแต่หัวจดเท้า รวมถึงการเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งนี้ ยังช่วยเสริมแกร่งให้สามารถรับมือการแข่งขันกับคู่แข่ง โดยเฉพาะจากต่างชาติอย่างแบรนด์จีนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังเดินหน้ายกระดับการบริการหลังการขายให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น อาทิ นโยบายไม่ต้องส่งสินค้าคืนหากได้รับสินค้าผิดสี ผิดไซซ์ หรือแม้แต่ไม่พอใจ ซึ่งเริ่มมาประมาณ 7 เดือน และได้รับการตอบรับดีมาก
เชื่อว่าจะทำให้แบรนด์เติบโตไปพร้อมกับแฟนของยืดเปล่าที่เป็นวัยรุ่นไปสู่ผู้ใหญ่ที่เติบโตขึ้น และช่วยสร้างความผูกพัน และอยู่ในชีวิตของผู้บริโภคได้ยาวนานและเหนียวแน่นขึ้น