
MI ชี้ เศรษฐกิจช่วง 4 เดือนสุดท้ายปี 2567 กำลังซื้อยังซบเซา-ไร้ปัจจัยบวกกระตุ้น หวั่นหลังศาลรัฐธรรมนูญถอดถอน “เศรษฐา” พ้นนายกฯ อาจเกิดสุญญากาศนาน 2-3 เดือน ขณะที่เม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาอาจพลิกจากโต 3.3% เป็นติดลบ
วันที่ 14 สิงหาคม 2567 นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 ผ่านเม็ดเงินโฆษณาและกิจกรรมการตลาดว่า แม้ EUFA Euro และ Paris Olympic 2024 ที่เพิ่งจบไปจะกระตุ้นความคึกคักของตลาดและเม็ดเงินโฆษณาได้บ้าง
แต่การจับจ่ายของผู้บริโภคยังซึมยาว เนื่องจากยังมีปัจจัยลบรอบด้าน ไม่ว่าจะทั้งค่าครองชีพที่พุ่งสูง รายได้หดตัว ฯลฯ
“หากคำนึงถึงปัจจัยบวก และปัจจัยลบต่าง ๆ ตลอดทั้งปี รวมถึงโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่รัฐบาลระบุว่าจะแจกให้กับประชาชนได้ใช้จ่ายในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ เม็ดเงินโฆษณาทั้งปีจะปิดที่ 87,617 ล้านบาท หรือเติบโตอยู่ที่ 3.3% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อย ๆ ลดลง จากปัจจุบันเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาล่าสุด (ม.ค.-ก.ค.) อยู่ที่ 49,433 ล้านบาท หรือโตประมาณ 4.9% จากปี 2566”
นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมือง เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 โดยประเมินว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินเป็นคุณต่อนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ก็น่าจะทำให้เห็นภาพรวมเป็นไปตามที่ประเมินไว้ แต่หากศาลตัดสินไม่เป็นคุณต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้อย่างแน่นอน
เนื่องจากสุญญากาศของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ครม.ทั้งคณะ น่าจะกินเวลากว่า 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย ซึ่งส่งผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายและการใช้จ่ายงบประมาณต่าง ๆ โดยทาง MI GROUP ได้ประเมินฉากทัศน์นี้ไว้ว่าอาจทำให้เม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาและสื่อสารการตลาดปิดปี 2567 ไม่เติบโต หรืออาจติดลบเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่า 84,688 ล้านบาท ลดลง 0.2%