
อายลิ้งค์ วิชั่น กางแผนครึ่งหลังปี’67 รุกแว่นตาฟังก์ชันนอล-รับสังคมสูงวัย เน้นชูกลยุทธ์แบรนด์แอมบาสซาเดอร์มาร์เก็ตติ้ง หวังสร้างการรับรู้ทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ พร้อมคัดแบรนด์ใหม่เสริมพอร์ต-จับมือดีลเลอร์ร่วมทุนซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์แว่นตาดังจากยุโรปมาพัฒนาเป็นสินค้า House Brand คาดเปิดตัวภายใน 2-3 ปี สิ้นปีมองยังมีปัจจัยบวกกระตุ้นยอดโตตามเป้า
นายประพันธ์ ผดุงเกียรติสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายแว่นตา อาทิ ไอซี!เบอร์ลิน (ic!berlin) ดิออร์ (Dior) จีวองชี่ (Givenchy) ซิลลูเอท (Silhouette) และเคนโซ่ (Kenzo) ฯลฯ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดขายปลีกแว่นตา ปี 2567 มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท เติบโตเพียงแค่ 1% ซึ่งถือเป็นตัวเลขการเติบโตที่น้อยเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงสูง และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานของ อายลิ้งค์ วิชั่น ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2567 ก็มีรายได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากเดิมที่คาดว่าจะสูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 200-300 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทแม่ของแบรนด์ดิออร์ลดจุดจำหน่ายของแบรนด์ดิออร์ลงประมาณ 50% หรือเหลือเพียงแค่ 60 จุด จากเดิมที่มีอยู่มากกว่า 100 จุด ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจากทางบริษัทแม่ต้องการให้ร้านที่จำหน่ายสินค้าของแบรนด์ดิออร์ มีภาพลักษณ์ที่ตรงกับมาตรฐานที่ตั้งไว้ จึงทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า
ลุยตลาดแว่นฟังก์ชันนอล
สำหรับทิศทางในช่วงครึ่งปีหลังปี 2567 บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นทำตลาดแว่นตาในกลุ่มฟังก์ชันนอลเป็นหลัก โดยจะอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการทำตลาดที่มีมานานกว่า 20 ปี รวมทั้งการได้รับลิขสิทธิ์ในการจำหน่ายแว่นตาฟังก์ชันนอลมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และครองส่วนแบ่งการตลาดแว่นตาฟังก์ชันนอลในประเทศไทยเกิน 90% ของตลาดรวม มาพัฒนาและสร้างการรับรู้แบรนด์ในพอร์ตฯให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
โดยเบื้องต้นจะยังคงใช้กลยุทธ์แบรนด์แอมบาสซาเดอร์มาร์เก็ตติ้งต่อเนื่อง เนื่องจากเชื่อว่าการใช้แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ยังได้ผลดีในการทำตลาด สร้างยอดขาย และสร้างการรับรู้ของแบรนด์ในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด สะท้อนจากผลลัพธ์ของการใช้หมาก-ปริญ สำหรับแบรนด์ไอซี!เบอร์ลิน และนาย-ณภัทร สำหรับแบรนด์ลาคอส
ดึงแบรนด์ใหม่เสริมทัพ
รวมถึงจะเน้นการโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น ไม่ว่าจะทั้งการเพิ่มสื่อโฆษณาในแหล่งรวมตัวของวัยรุ่น การร่วมมือกับดีลเลอร์และตัวแทนจำหน่ายเพื่อปรับภาพลักษณ์ หรือจุดขายภายในร้าน เปลี่ยนตู้โชว์เพื่อให้มองเห็นสินค้าเด่นชัดขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีจุดจำหน่ายประมาณ 300-400 จุด
ขณะเดียวกันเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำเทรนด์แว่นตา จะมุ่งคัดเลือกนำเข้าแบรนด์แว่นตาระดับพรีเมี่ยม, ลิมิเต็ดเอดิชั่น และการเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้มีความหลากหลายเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเปิดตัว 7 แบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมทัพ ได้แก่ Max Mara, OFF-WHITE, Palm Angles, TAG Heuer, Thom Browne และ TOM FORD
ทำให้ปัจจุบัน อายลิ้งค์ วิชั่น มีแบรนด์แว่นตาระดับโลกอยู่ในพอร์ตโฟลิโอประมาณ 25 แบรนด์ แบ่งเป็นกลุ่มแฟชั่น 30% และกลุ่มฟังก์ชันนอล 70%
ซึ่งแบรนด์ที่เป็นเรือธงและทำยอดขายได้สูงสุดของบริษัทยังคงเป็นแบรนด์ไอซี!เบอร์ลิน โดยมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 40% ของยอดขายทั้งหมด
เร่งสร้าง House Brand
ขณะเดียวกันในปีหน้าบริษัทก็มีแผนที่จะทำสินค้ากลุ่ม House Brand ออกมาในรูปแบบแบรนด์แว่นตาฟังก์ชันนอล เพื่อสำรองกรณีแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งในพอร์ตฯเปลี่ยนมือ หรือขายกิจการ ซึ่ง House Brand ก็จะเข้ามาเสริมได้
โดยเบื้องต้นจะเป็นการร่วมทุนกับดีลเลอร์ที่เป็นพาร์ตเนอร์กับทางบริษัท เข้าซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์แว่นตาดังจากยุโรปมาเป็นสินค้า House Brand ของตนเอง ซึ่งตอนนี้ได้ซื้อมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแบรนด์ โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดตัวอีก 2-3 ปีข้างหน้า
“การที่เรามุ่งเน้นในกลุ่มของฟังก์ชันนอลเป็นหลัก เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตสูง เพราะปัจจุบันตลาดฟังก์ชันนอลยังมีมูลค่าอยู่เพียง 1,500-2,000 ล้านบาท ของตลาดรวมขายปลีกแว่นตา ประกอบกับประเทศไทยเองก็มีผู้สูงอายุที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากร จนได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ จึงมองว่าจะทำให้ตลาดยังโตได้อีกมาก เพราะส่วนใหญ่ผู้สูงอายุเวลาเลือกซื้อสินค้าก็เริ่มมองหาอะไรที่ใส่สบาย และทนทาน ถึงแม้จะมีราคาที่สูงก็เลือกที่จะยอมจ่าย”
อย่างไรก็ตามจากแผนการดำเนินงานดังกล่าว คาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งตลาดแว่นตาฟังก์ชันนอลได้เต็ม 100% ใน 3-5 ปี รวมถึงมองว่าหากนโยบายจากทางภาครัฐดำเนินการต่อในส่วนของเงินดิจิทัลวอลเลต ก็คาดว่าจะมาช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายมากขึ้น และทำให้ตลาดขายปลีกแว่นตาเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน