
เอสิคส์เชื่อตลาดกีฬา 7 หมื่นล้านโตแรงไม่หวั่นเศรษฐกิจ เดินหน้าแผนโตก้าวกระโดดดับเบิลดิจิตทุกปีถึงปี’69 ลุยเจาะเซ็กเมนต์ฟุตบอล-รองเท้าสปอร์ตแฟชั่น ทั้งขยายไลน์สินค้า-สาขาใหม่ ปรับยุทธศาสตร์อีเวนต์เน้นใหญ่ไม่เน้นเยอะ พร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์สมาชิก OneASICS ตรึงฐานลูกค้ากระตุ้นจับจ่าย ก่อนปักธงแฟลกชิปสโตล์ใหม่ใหญ่สุดในไทยปลายปีนี้
นายตฤณ ธนากิตติวรา ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท แอซิคส์ ประเทศไทย จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้ากีฬาแบรนด์ เอสิคส์ (ASICS) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดสินค้ากีฬาทั้งรองเท้าและเสื้อผ้าช่วงปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะยังเติบโตดีเป็นพิเศษเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก ส่งผลให้สิ้นปีตลาดจะมีมูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาทเติบโต 10% จากปี 2566 ซึ่งเป็นการเติบโตสูงกว่าปกติที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 5-7% ด้วยปัจจัยบวกหลายด้าน
โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลจะเป็นกระแสกีฬาโอลิมปิกที่สร้างบรรยากาศให้ผู้บริโภคสนใจการเล่นกีฬาตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 3 ขณะที่พื้นที่เล่นกีฬาเพิ่มขึ้นในสวนสาธารณต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ อาทิ สวนเบญจกิติ ทำให้เกิดคอมมิวนิตี้ผู้เล่นกีฬาขึ้นหลายกลุ่ม ร่วมกับงานวิ่งหลากรูปแบบทั้งถนนและเทรลที่เตรียมจัดในช่วงท้ายปี เช่นเดียวกับกระแสสุขภาพและการแต่งกายด้วยชุดกีฬาที่ยังคงแรงต่อเนื่องมาช่วยสร้างดีมานด์สินค้า ขณะเดียวกันการทำตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ช่วยสร้างสีสันความคึกคักกระตุ้นการจับจ่าย
แนวโน้มการเติบโตนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับเอสิคส์ที่จะสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตามแผนการเติบโตระดับดับเบิลดิจิตต่อเนื่องทุกปีจนถึงปี 2569
ปูพรมไลน์สินค้าสปอร์ตสไตล์
นายตฤณกล่าวต่อไปว่า ช่วง 2 ไตรมาสท้ายนี้บริษัทจะโฟกัสใน 3 ด้าน คือ การขยายฐานในเซ็กเมนต์สปอร์ตแฟชั่นที่กำลังมาแรง ด้วยไลน์อัพสปอร์ตสไตล์ (SportStyle) และรุกเข้าสู่เซ็กเมนต์รองเท้าฟุตบอล เพื่อเร่งสปีดการเติบโต ควบคู่กับการสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นผ่านการจัดอีเวนต์ใหญ่ระดับภูมิภาค รวมถึงอัพเกรดระบบสมาชิก OneASICS ให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้นเพื่อรักษาฐานลูกค้า-กระตุ้นการซื้อซ้ำ เช่นเดียวกับการขยายสาขาแบรนด์ช็อปเพิ่มอีก 4 สาขา หนึ่งในนั้นเป็นแฟลกชิปขนาดใหญ่สุดในไทยอีกด้วย
ในส่วนของการขยายฐานสินค้าสปอร์ตสไตล์นั้นจะเน้นการคอลลาบอเรชั่นกับดีไซเนอร์ชื่อดังและแบรนด์ดัง เช่น Cecilie Bahnsen, Kengo Kuma ฯลฯ มาออกแบบสินค้ารุ่นพิเศษ ร่วมกับกลยุทธ์นำรองเท้าวิ่งรุ่นดังในอดีตมาอัพเดตดีไซน์ใหม่เป็นรองเท้าแฟชั่น โดยยังคงเทคโนโลยีเอาไว้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้สินค้าจากความสบายในการสวมใส่
ตัวอย่างเช่น ปลายเดือนสิงหาคมนี้ เตรียมเปิดตัวรองเท้า GT-2160 รุ่นพิเศษ CONCRETE BLOOM ที่คอลแลบส์กับแบรนด์คาร์นิวัล (Carnival) ซึ่งจากการปล่อยทีเซอร์เบื้องต้นได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยหลังจากนี้จะมีสินค้ารุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่องแบบรายเดือน ทั้งสีใหม่ของรุ่นเดิม และรุ่นใหม่
นอกจากสินค้าใหม่แล้ว ยังเดินหน้าขยายจุดจำหน่ายในรูปแบบช็อปอินช็อปสำหรับจำหน่ายเฉพาะสินค้าสปอร์ตสไตล์โดยเฉพาะ โดยปี 2567 นี้ มีแผนเพิ่ม 6-8 จุดในโซนดีพาร์ตเมนต์ของห้างสรรพสินค้า
ชิงเค้กตลาดฟุตบอล
สำหรับการรุกเข้าสู่เซ็กเมนต์ฟุตบอลนับเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของครึ่งปีหลัง เนื่องจากเซ็กเมนต์นี้ แม้จะมีการแข่งขันดุเดือด แต่มีมูลค่าสูงเช่นกัน ดังนั้น หากสามารถชิงส่วนแบ่งได้จะเป็นเม็ดเงินจำนวนมาก ทำให้ตั้งแต่กรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทตัดสินใจนำสินค้าฟุตบอลเข้ามาและขยายช่องทางจัดจำหน่ายเข้าไปในร้านค้าต่าง ๆ อาทิ ซูเปอร์สปอร์ต,Ari Football และอื่น ๆ รวมถึงร้านแบรนด์ช็อปของบริษัท
โดยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการแบ่งรองเท้าตามสไตล์การเล่น เช่น กองหน้าที่ต้องการความเร็ว กองหลังที่เน้นความมั่นคง เพื่อตอบโจทย์ของนักกีฬา ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของ ASICS ที่เห็นได้ในสินค้ากลุ่มอื่น ทั้งเทนนิส วิ่ง ฯลฯ
พร้อมกับเดินสายเจรจากับฟุตบอลอคาเดมีเพื่อสร้างความร่วมมือ อย่างการเข้าเป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์ และอื่น ๆ
“ด้วยการที่ ASICS มีจุดแข็งด้านรองเท้าวิ่ง และรองเท้าเทนนิสอยู่แล้ว จึงต้องมองหาพื้นที่ใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโต ซึ่งฟุตบอลเป็นตลาดที่มีศักยภาพจากความใหญ่ ทำให้แม้จะยังชิงส่วนได้ไม่มากนัก แต่จะเป็นมูลค่าค่อนข้างสูง”
อัดบิ๊กอีเวนต์ระดับภูมิภาค
ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท แอซิคส์ ย้ำว่า การสร้างการรับรู้ยังคงเป็นหนึ่งในโจทย์หลักของบริษัท เนื่องจากเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว ยังมีช่องให้บริษัทพัฒนาและปรับปรุงอีกมาก
เพื่อยกระดับการรับรู้และความเชื่อมั่นในแบรนด์ บริษัทจึงปรับกลยุทธ์การจัดอีเวนต์ เป็นเน้นขนาด-ระดับของงานมากกว่าความถี่ในการจัด ด้วยการดึงอีเวนต์ระดับภูมิภาค ซึ่งปกติเป็นงานหมุนเวียนตามประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเข้ามาจัดในประเทศไทยให้ถี่เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น Celebration of Movement พ็อปอัพอีเวนต์เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมซึ่งมี KOL, พาร์ตเนอร์ระดับภูมิภาคเข้าร่วมจำนวนมาก รวมถึงแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ อาทิ นิชคุณ หรเวชกุล, เต-ตะวัน วิหครัตน์, ลุค-อิชิคาว่า พราวเด้น และริว-วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล และมีการเปิดตัวสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่ ทดลองประสิทธิภาพของรองเท้ารุ่นล่าสุด และเวิร์กช็อปต่าง ๆ อีกด้วย
ก่อนจะตามด้วย ASICS META : Time : Trials Thailand งานแข่งขันระยะ 10 กม. ในวันที่ 22 กันยายน ที่สนามศุภชลาศัย ซึ่งปีนี้เปิดให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้จากเดิมที่จำกัดเฉพาะนักวิ่งอาชีพเท่านั้น
นอกจากนี้ ช่วงเดือนธันวาคมจะมีอีเวนต์พิเศษฉลองการเปิดสาขาแฟลกชิปขนาดใหญ่ที่ศูนย์การค้าเมกาบางนา โดยจะเป็นแบรนด์ช็อปที่บริหารโดย แอซิคส์ (ไทยแลนด์) ขนาดใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ประมาณ200 ตร.ม.
“ในภูมิภาคอาเซียนนี้ ไทยนับเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพสูง ทั้งตัวตลาด และกระแสการตอบรับ สะท้อนจากเมื่อเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ จะสร้าง Impact ไปทั่วภูมิภาคได้”
เพิ่มแม็กเนตระบบสมาชิก
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มแม็กเนตใหม่ ๆ ให้กับระบบสมาชิก OneASICS ที่ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 7 หมื่นคน หลังเริ่มสร้างฐานอย่างจริงจังเมื่อปลายปี 2566 ตามเป้าหมายในการรักษาฐานลูกค้า รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการซื้อ-ใช้บริการซ้ำ โดยเพิ่มจะสิทธิพิเศษต่าง ๆ ทั้งการสะสมแต้ม ส่วนลดวันเกิด ระบบ Tier ที่จะได้สิทธิประโยชน์เพิ่มตามแต้มที่สะสมแบ่งเป็น 3 ระดับ รวมถึงสิทธิซื้อสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ, สิทธิลุ้น Lucky Draw ร่วมงานต่าง ๆ และในอนาคตจะมีพันธมิตรเข้ามาร่วมให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมอีก
ส่วนเฟสต่อไปจะอัพเกรดแอปมือถือเป็นรูปแบบใหม่ที่ใช้งานง่ายขึ้น ทั้งด้านการกดเช็กแต้ม ดูสิทธิประโยชน์ และอัพเดตกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงจัดกิจกรรมร่วมสนุก เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับการเป็นสมาชิก OneASICS
“ทุกวันนี้นอกจากการขายสินค้าแล้ว ยังต้องมี Activity, CRM Event ต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ผู้บริโภคอยู่กับแบรนด์ตลอด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขัน เพราะยิ่งเรารู้จักลูกค้ามากจะยิ่งเข้าใจความต้องการและตอบสนองลูกค้าได้ดี สร้างความพึงพอใจและดึงดูดให้กลับมาใช้บริการ สำหรับ ASICS เรามั่นใจในตัวสินค้าอยู่แล้ว โจทย์จึงเป็นการทำอย่างไรจึงจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง”
นายตฤณย้ำความมั่นใจว่า กลยุทธ์ด้านสินค้าและการตลาดเหล่านี้ ร่วมกับการขยายสาขาแบรดน์ช็อปทั้ง 4 แห่ง คือภูเก็ต นครสวรรค์ อุบลฯ และสาขาแฟลกชิปที่เมกาบางนา จะหนุนให้บริษัทสามารถเติบโตในระดับดับเบิลดิจิตตามเป้าที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน หลังปี 2566 สามารถเติบโตได้ประมาณ 30%