ตลาดเครื่องดื่มในประเทศชะลอตัว “ดีโด้” อัดงบ 200 ล้าน/เร่งยอดขายต่างประเทศ

ฟู้ดสตาร์ ยอดขายในไทยชะลอตัว ผลกระทบจากตลาดเครื่องดื่มในไทยซบเซาลง ฟู้ดสตาร์ เดินหน้าส่ง “ดีโด้” ออกต่างประเทศหลังจากกระแสตอบรับดีเกินคาด พร้อมทุ่มงบฯกว่า 200 ล้านบาทเร่งสร้างแบรนด์เจาะผู้บริโภควัยรุ่น จัดเต็มกลยุทธ์สู่โลกออนไลน์

นางสาวจันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟู้ดสตาร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกไว้สำหรับ 2 ปี ข้างหน้า โดยจะเน้นขยายเซลส์และช่องทางกระจายสินค้ากว่า 26 สาขา และเพิ่มรถแฮทแวนจำนวน 350 คัน เพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้เจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภครากหญ้าได้อย่างใกล้ชิด ทั้งตลาดในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มซีแอลเอ็มวี ซึ่งภาพรวมด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคเติบโตขึ้น ในปี 2560 โตขึ้น 35% ปี 2561 โตขึ้น 40-50% ต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศไทยตลาดชะลอตัว แต่ตลาดเครื่องดื่มในต่างประเทศกำลังโตขึ้น ซึ่งบริษัทมีแผนสร้างแบรนด์ ทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันยอดขายอย่างเต็มที่ และนี่เป็นอีกหนึ่งแนวทางการตลาดที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายต่างประเทศให้มากขึ้น

ทั้งนี้ หลังจากปูพรมสินค้าและทำการตลาดอย่างครอบคลุมแล้ว ทิศทางในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 3,500 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนในต่างประเทศ 60% ไทย 40% นอกจากนี้ภายในปี 2561 มีการวางแผนจะเข้าไปรับจ้างผลิตสินค้าในประเทศเมียนมา ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่พอสมควร นอกจากนั้นยังมองหาโอกาสไปเปิดตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

“เราจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์เริ่มจากสร้างการรับรู้ด้านโซเซียลมีเดีย ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นและให้ความสำคัญในการคิดคอนเทนต์ให้มีความน่าดึงดูด โดยนำความรู้มาผสมผสานกับการเล่นเกม เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นมากขึ้น”

ในขณะที่การดำเนินงานในปี 2561 “ดีโด้” ขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นมากขึ้น ด้วยการสร้างแบรนด์ให้ทันสมัย และคิดค้นผลิตภัณฑ์ผลไม้พร้อมดื่มมีหลากหลายรสชาติ ซึ่งในปีนี้ได้เปิดตัวโปรดักต์ใหม่ “ดีโด้” จำนวน 3 รสชาติ อาทิ รสมิกกุ โย ฟรุตซ์, จูซซี่ เป็นต้น

นอกจากนี้ ในส่วนของการทำตลาดในปี 2561 บริษัทใช้งบฯ การตลาดกว่า 200 ล้านบาท เทียบเท่าจากปี 2560 เพื่อมุ่งกิจกรรมส่งเสริมการขายในกลุ่มน้ำผลไม้ในประเทศไทยและต่างประเทศ

ปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มมีมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ น้ำผลไม้ 100% มีมูลค่า 5 พันล้านบาท น้ำผลไม้ 40-90% มีมูลค่า 1,900 ล้านบาท น้ำผลไม้ 20-39% มูลค่า 3.3 พันล้านบาท และอื่น ๆ อีก 1,300 ล้านบาท

ขณะที่ดีโด้อยู่ในกลุ่มตลาดน้ำผลไม้ 20-39% หรือกลุ่มอีโคโนมี และกลุ่มซูเปอร์อีโคโนมี โดยมีส่วนแบ่งกว่า 40%