รู้จัก ‘Panpuri’ ธุรกิจเวลเนสไทยโดนใจต่างชาติ ยอดขายกว่า 500 ล้านบาท

Panpuri

ทำความรู้จักปัญญ์ปุริ (Panpuri) แบรนด์เครื่องหอมไทยที่ตีตลาดธุรกิจเวลเนสในประเทศแตกกระจายด้วยรายได้กว่า 500 ล้านบาท พร้อมโกอินเตอร์สู่ตลาดโลกจากแบรนด์ดังประเทศญี่ปุ่นเข้าซื้อกิจการ

เรียกได้ว่าเตรียมยกระดับธุรกิจสู่ตลาดโลกไปอีกขั้น สำหรับแบรนด์เครื่องหอมและสกินแคร์สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านบาทติดต่อกันหลายปี จนมีสาขากว่า 31 สาขา และสปาตามโรงแรมและห้างสรรพสินค้ากว่า 4 แห่ง ทำให้ปัญญ์ปุริกลายมาเป็น First Asian Luxury Clean Beauty Brand ที่เตะตาชาวเอเชียด้วยกันเอง และทั่วโลกได้ไม่ยาก

ด้วยความพร้อมของแบรนด์ที่เติบโตได้ดีในการบริหารของ “ปุ๋ย วรวิทย์ ศิริพากย์” สะท้อนออกมาเป็นความสำเร็จทั้งด้านรายได้และการจดจำของคนทั่วโลก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้รับโอกาสในการมุ่งสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่ที่มาของปัญญ์ปุริ และระหว่างทางกว่าจะมาเป็นแบรนด์ที่ใครก็จดจำนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?

กำเนิดธุรกิจ “Wellness” ในไทย

หลังจากการเผชิญชีวิตที่เร่งรีบและการทำงานหนักมาหลายปีในต่างประเทศ วรวิทย์ก็ได้กลับมายังไทยบ้านเกิด และเริ่มมองเห็นลู่ทางการทำธุรกิจจากสมัยเรียนที่ตนเคยวิเคราะห์ไว้ว่า ธุรกิจความงามที่เกี่ยวกับสุขภาพน่าจะไปได้ดีสำหรับเมืองไทย

กอปรเข้ากับแรงบันดาลใจที่ได้มาจากความทรงจำในวันเด็กที่ได้เห็นคุณย่านำดอกมะลิมาลอยน้ำเพื่อดื่ม ทำให้ได้กลิ่นหอมและเย็นชื่นใจ เสน่ห์สำคัญที่ทำให้เขาหลงใหลในดอกมะลิและประเพณีไทย และนำมันมาสานต่อในการสกัดเป็นวัตถุดิบที่หอมกลิ่นละเอียดอ่อน

นำมาสู่การก่อตั้งแบรนด์ “PAÑPURI” ในปี 2546 ภายใต้ความเชื่อในการหลอมรวมตัวตนให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เพื่อช่วยหล่อเลี้ยงร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณให้มีความสมดุลในทุกมิติ

ADVERTISMENT

คำว่า ปัญญ์ปุริ มีรากฐานมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต มาจากการผสมกันของคำว่า “ปัญญะ” แปลว่า สติปัญญาอันตื่นรู้ และ “ปุริ” แปลว่า คุณค่าแห่งความบริสุทธิ์ ปัญญ์ปุริจึงเปรียบเสมือนสถานที่แห่งการตื่นรู้ที่จะปลุกพลังแห่งประสาทสัมผัสให้หลอมรวมความสมดุลของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณไว้อย่างสมบูรณ์

วรวิทย์เล่าผ่านสื่อว่า ปัญญ์ปุริเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่พยายามสร้างอุตสาหกรรมที่เรียกว่า “Wellness” ให้แข็งแรง เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์ที่มีความเชื่อว่า การดูแลสุขภาพจะต้องให้เกิดความสมดุลจากภายในสู่ภายนอก ถึงจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาวะที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

ADVERTISMENT

โดดเด่น ไปได้ไกล

นอกจากปัญญ์ปุริจะทำสินค้าออร์แกนิกจากธรรมชาติ 100% และมีผลิตภัณฑ์ตั้งแต่หัวจดเท้าแล้ว ยังมีการการสร้างเอกลักษณ์แบรนด์ให้ชัด โดยใส่ความเป็นไทยเข้าไปในตัวสินค้า ผลิตภัณฑ์ และการบริการ โดยเฉพาะการมีส่วนผสมของสมุนไพรไทย พืชพรรณ และดอกไม้นานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นมะลิ, กระดังงา, ตะไคร้, ไม้จันทน์หอม, ว่านหางจระเข้, มะพร้าว, แตงกวา, ข่า, ขิง, น้ำผึ้ง และสะระแหน่

ทำให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้ปัญญ์ปุริมีกลิ่นเฉพาะตัวแบบไทย ๆ ที่ทั้งโลกหันมาสนใจ พร้อมกับการสร้างตัวแทนให้เกิดการจำแบรนด์ผ่านสัญลักษณ์ “นกยูง” (Peacock Crest) ที่สื่อถือความมีสติปัญญาและความบริสุทธิ์ที่มีความหมายใกล้เคียงกับชื่อแบรนด์ ซึ่งจากลวดลายของนกยูงนั้น สามารถเห็นได้จากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดกว่า 2,300 รายการ มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมด้านเวลเนสและสปา อาทิ เครื่องหอม, เทียนอโรม่า, สเปรย์ฉีดหมอน, สบู่อาบน้ำ, โลชั่นทาผิว, สกินแคร์ และลิปบาล์ม

และมีสาขาตามห้างสรรพสินค้า 31 สาขา และมีสปาเวลเนส 4 แห่ง ได้แก่

  • Gayson Tower Bangkok
  • โรงแรม Park Hyatt
  • โรงแรม Andaz Pattaya
  • โรงแรม The Eastern and Oriental Penang

นอกจากนี้ Pañpuri ยังเจาะตลาดต่างประเทศ โดยสามารถขายใน 15 ประเทศทั่วเอเชียและยุโรป เช่น ห้างสรรพสินค้า Madinat Jumeirah ในดูไบ ห้าง Lotte ประเทศเกาหลีใต้ ห้างอิเซตัน ห้างทาคาชิมายะ ห้างมิซูโกชิ ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเข้าไปอยู่ในสปาของโรงแรมระดับ 5 ดาว ในประเทศไทยและทั่วโลก เช่น Park Hyatt Bangkok, Centara และ Shangri-La

ตามคำสัมภาษณ์ของวรวิทย์ที่นอกจากเขาจะพยายามพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ทัดเทียมกับระดับสากลเพื่อเป้าหมายในการเจาะตลาดโลกได้แล้วนั้น ทำให้ปัญญ์ปุริสามารถขายในต่างประเทศได้ถึง 15 ประเทศทั่วโลก อาทิ

  • ห้างสรรพสินค้า Madinat Jumeirah – ดูไบ
  • ห้างสรรพสินค้า Lotte – เกาหลีใต้
  • ห้างสรรพสินค้าอิเซตัน – ญี่ปุ่น
  • ห้างสรรพสินค้าทาคาชิมายะ – ญี่ปุ่น
  • ห้างสรรพสินค้ามิซูโกชิ – ญี่ปุ่น

รวมถึงเข้าไปอยู่ในสปาของโรงแรมระดับ 5 ดาว ในประเทศไทยและทั่วโลก เช่น Park Hyatt Bangkok, Centara และ Shangri-La

ยอดขายร้อยล้าน แม้เผชิญวิกฤต

จากการพยายามสร้างแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ผสมผสานความเป็นไทยเข้าไปแล้ว การเติบโตขึ้นมาเป็นลักเซอรี่ที่สามารถเจาะตลาดโลกได้คงไม่ไกลเกินเอื้อม และแม้ว่าแบรนด์จะเดินทางมากว่า 20 ปีแล้ว วรวิทย์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ช่วง 10 ปีแรกเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก

สำหรับการเริ่มต้นตีตลาดอุตสาหกรรม “Wellness” ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในประเทศมากนัก ส่วนช่วงเวลาที่เติบโตได้เร็วและมีขายอย่างดีนั้น จากการตรวจสอบผลประกอบการผ่านกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่า เกิดขึ้นหลังโควิดผ่านพ้นไป

ตรงกับที่วรวิทย์เล่าว่า ช่วงวิกฤตโควิดเป็นช่วงท้าทายที่สุด เพราะจากห้างสรรพสินค้าที่ปิดตัว ทำให้ต้องหันมาตีตลาดร้านค้าออนไลน์มากขึ้นเพื่อให้เกิดยอดขาย ขณะเดียวกันก็ต้องปรับองค์กรครั้งใหญ่ อย่างการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กระแสเงินสด

นอกจากนั้นยังต้องคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ต่อยอดวัตถุดิบเดิมให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนในสถานการณ์นั้น อย่างการทำเอสเซนเชียลออยล์ที่ขายดีมาก รวมถึงมีการปรับตัวที่ดีขึ้น ซึ่งแม้ว่าผลประกอบการในช่วงที่เกิดโควิด-19 อาจจะไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่เมื่อแบรนด์สามารถพลิกวิกฤตกลับมาได้ การเติบโตของปัญญ์ปุริก็เดินหน้าต่อไปเช่นเดียวกัน

ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี

  • รายได้รวมปี 2562 450,823,264 บาท และกำไรสุทธิ -28,638,379 บาท
  • รายได้รวมปี 2563 195,787,879 บาท และกำไรสุทธิ -217,197,282 บาท
  • รายได้รวมปี 2564 200,512,273 บาท และกำไรสุทธิ -61,812,607 บาท
  • รายได้รวมปี 2565 313,516,105 บาท และกำไรสุทธิ 5,611,354 บาท
  • รายได้รวมปี 2566 579,792,919 บาท และกำไรสุทธิ 83,307,763 บาท

โตไปอีกขั้น

หลังจากมีข่าวว่า แบรนด์เครื่องสำอางญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง KOSE เข้าซื้อปัญญ์ปุริ ตามแบรนด์ธุรกิจระยะกลาง-ยาว เพื่อสร้างความเติบโตระดับโลกด้วยการ “ไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองอีกต่อไป” (No longer doing everything on its own) ที่ระบุในหนังสือแจ้งซื้อกิจการว่า บริษัทจะดึงแบรนด์ท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามาเสริมทัพ แทนที่จะยึดติดกับทรัพยากรของตนเอง ซึ่งจะช่วยขยายพอร์ตโฟลิโอให้สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และเร่งสปีดการเติบโตของธุรกิจทั่วโลกได้

ดังนั้นการได้ธุรกิจปัญญ์ปุริเข้ามาจะเกิดความร่วมมือแบบวิน-วิน โดยปัญญ์ปุริจะได้รับการสนับสนุนเพื่อสร้างการเติบโต ล่าสุดวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา KOSE เข้าซื้อหุ้นบริษัท Puri Co., Ltd. สำเร็จ และประกาศเป็นบริษัทย่อย พร้อมขยายสู่ Global South

การซื้อหุ้น Puri จะทำให้ KOSE มีส่วนสนับสนุนการเติบโตต่อไปของแบรนด์ และขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจของ KOSE เพื่อขยายการเข้าถึงลูกค้าใหม่และเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น นอกจากนี้ KOSE ยังจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะตัวเองในตลาด Global South เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรอีกด้วย