เจาะยุทธศาสตร์ “โฮมโปร” พลิกโฉมเก่าแลกใหม่

homepro
เสาวณีย์ สิราริยกุล
สัมภาษณ์พิเศษ

โฮมโปร กำลังยกระดับกลยุทธ์เก่าแลกใหม่ไปอีกขั้น ด้วยโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ซึ่งไม่เพียงรับแลกสินค้าเก่าเป็นส่วนลด แต่ยังเดินสายผนึกพันธมิตรจากหลายวงการทั้งผู้คัดแยกขยะ เคมีภัณฑ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาระบบเก่าแลกใหม่แบบครบลูป (Closed-Loop ?) ตั้งแต่การรับแลกสินค้าเก่า นำไปแปรรูปขยะกลับเป็นวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าใหม่อย่าง ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ และกลับมาวางขายทางหน้าร้านอีกครั้ง หวังชิงออกตัวสร้างความได้เปรียบในระยะยาวจากกระแสรักษ์โลกที่กำลังเข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนคู่แข่งรายอื่น ๆ ในวงการค้าปลีก

โดย “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “เสาวณีย์ สิราริยกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร “โฮมโปร” ถึงที่มาที่ไป และศักยภาพ รวมถึงทิศทางของโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ในปี 2568 ที่จะถึงนี้

พลิกความท้าทายเป็นโอกาส

“เสาวณีย์” ฉายภาพว่า สำหรับผู้ค้าปลีกโดยเฉพาะสินค้าชิ้นใหญ่และมีส่วนประกอบที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งโลหะและพลาสติกอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ความสามารถในการจัดการเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ผู้บริโภคมีอยู่จะทวีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มให้น้ำหนักกับประเด็นสิ่งแวดล้อมในการตัดสินใจซื้อสินค้ามากและรอบด้านยิ่งขึ้น โดยไม่เพียงจะมองถึงวัสดุ-กระบวนการผลิตของสินค้าใหม่ แต่ยังรวมไปถึงการจัดการกับสินค้าเก่าที่ตนมีอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงความท้าทาย แต่ยังเป็นโอกาสที่สามารถนำมาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยเช่นกัน เนื่องจากหากผู้ค้าปลีกรายใดสามารถหาวิธีบริหารจัดการสินค้าเก่าได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและครบวงจร จะทำให้กลายเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ผู้บริโภคจะมาซื้อหาสินค้าไปในทันที

ทั้งนี้ เนื่องจากกระบวนการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจรนั้นซับซ้อน และต้องอาศัยโนว์ฮาว-อุปกรณ์เฉพาะทาง ยากที่บริษัทเดียวจะสามารถทำได้แบบครบลูป

ด้วยเหตุนี้ จึงตัดสินใจต่อยอดจุดแข็งด้านขนาดธุรกิจที่มีสาขามากกว่า 130 สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ และมีปริมาณการขายเครื่องใช้ไฟฟ้ากว่า 5 ล้านเครื่องต่อปี ซึ่งทำให้บริษัทขึ้นแท่นผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ และโพซิชั่นตัวกลางระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์สินค้า มาพัฒนาโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น

ADVERTISMENT

โดยมีจุดเด่นที่ไม่เพียงเปิดรับสินค้าเก่ามาและนำไปบริจาค หรือกำจัดอย่างถูกวิธีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการนำขยะมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้าใหม่ และนำกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง ตามแนวคิดระบบ Closed-Loop แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นที่มักนำสินค้าเก่าที่รับมาไปจำหน่ายต่อ บริจาค หรือเพียงแค่กำจัดอย่างถูกวิธี

ในโครงการนี้บริษัทเดินสายจับมือพันธมิตรจากหลายธุรกิจ เช่น โรงงานคัดแยก-แปรรูปขยะ, เอสซีจีซี (SCGC) ผู้ประกอบธุรกิจเคมีภัณฑ์ มารับหน้าที่เสริมคุณภาพเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ได้จากสินค้าเก่าให้มีคุณภาพสูงขึ้น และร่วมมือกับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งไทย, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้ อาทิ ไฮเออร์, สตีเบลเอลทรอน, โตชิบา, มาซูม่า ฯลฯ เพื่อนำเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนี้ไปผลิตเป็นสินค้าใหม่กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง เป็น Circular Products หรือสินค้ารักษ์โลกที่ผลิตจากวัสดุหมุนเวียน โดยบริษัทร่วมแชร์ข้อมูลอินไซต์ของผู้บริโภคเพื่อใช้ในการพัฒนาสินค้า และการันตีการรับสินค้ามาวางจำหน่ายในสาขา

ADVERTISMENT

พร้อมรับมือความท้าทายด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% จากการใช้วัตถุดิบรีไซเคิล ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่ายสูงกว่าสินค้าทั่วไป ด้วยโปรโมชั่นราคาและให้ส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรโฮมโปรวีซ่า รับส่วนลดเพิ่มเป็น 3%+2% เมื่อซื้อสินค้า Circular Products เป็นต้น ช่วยให้สินค้าเหล่านี้มีราคาที่แข่งขันได้ พร้อมเน้นย้ำการใช้บัตรเครดิตเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด เพื่อไม่ให้ลูกค้าเสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

ทำตลาดเต็มตัวหลังสินค้าพร้อม

ในปี 2568 ช่วงไตรมาส 2-3 ที่จะถึงนี้ โครงการแลกเก่าเพื่อโลกใหม่ จะถูกยกระดับไปอีกขั้น หลังไลน์สินค้า Circular Products จากพันธมิตรหลายรายจะทยอยออกวางจำหน่าย อาทิ เครื่องซักผ้าและตู้เย็นจากโตชิบา, ตู้เย็นและเครื่องซักผ้าจากซัมซุง, เครื่องทำน้ำอุ่น จากมาซูม่า ฯลฯ ร่วมกับสินค้าที่เริ่มวางจำหน่ายช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 นี้ เช่น ตู้เย็นจากไฮเออร์ และเครื่องทำน้ำอุ่นจากสตีเบลเอลทรอน เป็นต้น

ไลน์อัพสินค้า Circular Products ที่หลากหลายนี้ ทำให้บริษัทสามารถทำตลาดได้เต็มที่ตามไปด้วย โดยเตรียมเปิดตัวแคมเปญการสื่อสารครั้งใหญ่ พร้อมจัดเต็มใช้สื่อทั้งโฆษณาทีวี บิลบอร์ด และสื่อดิจิทัล เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างให้กับโครงการ และไลน์สินค้า Circular Products ที่มีจำหน่าย

โดยเปิดฉากด้วยการทุ่มงบฯกว่า 30 ล้านบาท สร้างภาพยนตร์โฆษณาสำหรับโครงการ แลกเก่าเพื่อโลกใหม่ พร้อมประโยคไฮไลต์สำคัญว่า “ใครไม่จัดการอย่างถูกวิธี อย่าซื้อ” ซึ่งออนแอร์ไปเมื่อ 3 ธันวาคม 2567 และจะฉายต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพื่อย้ำความมั่นใจ และเน้นจุดเด่นเรื่องกระบวนการจัดการสินค้าเก่าของโครงการนี้ รวมถึงรักษากระแสการรับรู้ให้ต่อเนื่อง ไปจนถึงช่วงก่อนลอนช์แคมเปญการสื่อสารใหญ่ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2568 มุ่งสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอายุ 28-55 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อม และมีความต้องการ-พร้อมลงทุนซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีจุดเด่นด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้งาน

ขยายสู่การซ่อม

นอกจากนี้เชื่อว่า การซ่อมแซม จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากเมื่ออัพเกรดเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นรุ่นที่ประหยัดพลังงานและเวลาแล้ว จะต้องการใช้สินค้าตัวนี้ให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ด้วย แต่การหาร้านซ่อมกลับยากขึ้น เห็นได้จากสถานการณ์ในต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป ที่ก้าวหน้าด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า

บริษัทจึงตัดสินใจเปิดศูนย์ซ่อมมืออาชีพ (Repair Service Center) ทั่วประเทศ เพื่อรับซ่อมสินค้าของผู้บริโภคทั้งแบบนำมาส่งซ่อมและซ่อมถึงบ้านลูกค้า

โดยหลังเริ่มโครงการมาได้ 6 เดือน ปัจจุบันมียอดการส่งซ่อม 3-4 พันชิ้นต่อเดือน และอนาคตอาจต่อยอดไปสู่การขยายระยะเวลารับประกันให้กับกลุ่มสินค้า Circular Products ยาวเป็นพิเศษ ซึ่งจะช่วยจูงใจผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มรายได้จากการขายสินค้า Circular Products ให้มีสัดส่วนถึง 20% ของยอดขายรวมของบริษัทในปี 2573