“สหพัฒน์” จัดทัพครั้งใหญ่ ให้ Big Data…ทำนายอนาคต

วันนี้ไม่มีใครปฏิเสธความแรงของกระแสแห่ง “ดิจิทัล” ไปได้ แม้กระทั่งองค์กรขนาดใหญ่ ที่คร่ำหวอดในสมรภูมิการแข่งขันมานาน เมื่อผู้บริโภคและสังคมเปลี่ยนไป ต้องไล่ตามให้ทัน หรือนำหน้าไปเท่านั้น

ความเคลื่อนไหวล่าสุดในแวดวงธุรกิจ เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ “เครือสหพัฒน์” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอนซูเมอร์ ที่พร้อมไปด้วยโรงงานผลิต และระบบขนส่งจัดจำหน่ายอันดับต้น ๆ ของประเทศ ภายใต้การนำทัพของเจ้าสัว “บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานเครือสหพัฒน์ ตัดสินใจดึงเทคโนโลยีอย่าง “บิ๊กดาต้า” เข้ามาช่วยยกระดับองค์กรให้แข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับสนามรบทางการค้ารูปแบบใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

Q : บิ๊กดาต้าจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมเครือสหพัฒน์ได้อย่างไร

เราต้องยอมรับว่ายุคนี้เป็นยุคของบิ๊กดาต้า ซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคจำนวนมาก เดิมทีข้อมูลเหล่านี้ไม่มีใครเก็บ แต่วันนี้ต้องนำข้อมูลเหล่านั้นมา predict (ทำนาย) อนาคต ยิ่งเราเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค มันจึงมีความสำคัญมากที่จะรู้ความต้องการของผู้บริโภคเพื่อออกสินค้า

เมื่อก่อนเวลาจะออกสินค้าตัวหนึ่งจะคิดจากมุมคนขาย ใช้เซนส์ของคน แต่วันนี้ต้องเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ แล้วค่อยคิดว่าจะออกอะไร การค้าขายยุคใหม่ต้องออกสินค้าแล้วให้ผู้บริโภคเขาแย่งกันซื้อ จะทำแบบเก่า ๆ ไม่ได้แล้วแต่การทำเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำคนเดียว เพราะได้ไปจับมือกับบีทีเอสกรุ๊ป ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง “บิ๊กดาต้าพาร์ตเนอร์ชิป และบิสซิเนสคอลลาบอเรชั่น” ด้วยกัน จากความใกล้ชิดส่วนของทางผู้บริหารทั้ง 2 ฝ่าย และทรัพยากรที่ทั้ง 2 เครือมีอยู่ในมือ สามารถนำไปต่อยอดได้หลากหลาย เช่น สหพัฒน์มีสินค้า บริการ ที่ดิน ฯลฯ บีทีเอส เป็นผู้ให้บริการขนส่งระดับประเทศ ที่มีคนใช้บริการ 7-8 แสนคนต่อวัน มีธุรกิจโฆษณา อสังหาฯ โรงแรมจำนวนมาก

“เขามีข้อมูล เราเองก็มี เอามาแชร์กันจะทำให้เราทำนายอนาคตได้ดีขึ้น วันนึงมีคนขึ้นบีทีเอสหลายแสนคน ก็รู้ได้ว่าคนไปแถวไหนกันเยอะ โลเกชั่นไหนที่ทราฟฟิกดี อนาคตจะได้นำสินค้า บริการ หรือร้านค้าไปลงได้อย่างตรงจุด”

Q : ความร่วมมือกับบีทีเอส จะต่อยอดได้ถึงไหน

การเซ็นเอ็มโอยูครั้งนี้มีหัวข้อหลัก ๆ อยู่ 8 เรื่อง อาทิ “e-Payment” ซึ่งบีทีเอสมีทั้งแรบบิทเพย์ และไลน์เพย์ ซึ่งภายในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ก็จะนำระบบการจ่ายผ่านบัตรแรบบิท รวมถึงคิวอาร์โค้ดมาใช้ และในอนาคตก็สามารถใช้ในร้านค้าปลีกทั้งหมดของสหพัฒน์ เช่น ลอว์สัน ซูรูฮะ ฯลฯ “targeted media” ผ่านวีจีไอ โกลบอลมีเดีย ทำโฆษณาที่ตรงจุดมากขึ้น “M commerce” นำสินค้าไปเสิร์ฟถึงมือผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด

“Smart sampling” การแจกสินค้าตัวอย่าง “redemption program” หรือลอยัลตี้โปรแกรม การออกแบบสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น “big data partnership” อนาคตอาจมีบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้โดยตรง “staff card” บัตรพนักงาน และ “distribution” ช่องทางการจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าในเครือให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

Q : การลงทุนอื่น ๆ ด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC

เรื่องบิ๊กดาต้าช่วงนี้คงเป็นเรื่องของการลงทุนด้านบุคลากร ตัวเลขยังไม่ชัดเจนนัก แต่การลงทุนด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะการรองรับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ยังรอจังหวะและโอกาสอยู่ ความพร้อมของสหพัฒน์คือการมีพื้นที่จำนวนมากในอำเภอศรีราชา แต่ยังมีอุปสรรคเรื่องของปัญหาผังเมืองอีอีซีที่ยังไม่แน่นอน นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของการเปลี่ยนเครื่องจักร การนำเทคโนโลยี IOT (internet of things) มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรวมถึงการลงทุนด้านกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค และรายได้ให้เป็นไปตามเป้า เช่น งานสหกรุ๊ปแฟร์ที่จะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 28 มิ.ย.-1 ก.ค. ซึ่งปีนี้ได้ย้ายไปจัดที่ไบเทค บางนา ซึ่งจะเชิญวง BNK48 มาร่วมโชว์ด้วย พร้อมกับเบลล่า-ราณี จากเรื่องบุพเพสันนิวาส เพื่อดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มารู้จักสินค้าในเครือของเรามากขึ้น

Q : วางเป้าหมายการเติบโตอย่างไร ในเศรษฐกิจและกำลังซื้อแบบนี้

ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อตอนนี้แม้ภาคส่งออกจะขยายตัว แต่ปัจจัยค่าเงินบาทที่แข็งตัวเพิ่มจากต้นปีถึง 8% ทำให้เงินกระจุกตัวอยู่แค่กลุ่มบน ไม่ลงมาถึงกำลังซื้อของรากหญ้า อย่างไรก็ตาม มองว่าครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น แต่ต้องระวังเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า หากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงจะเป็นเรตที่ดี

ส่วนภาพรวมของเครือสหพัฒน์ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตเล็กน้อย โดยกลุ่มสินค้าอาหารและคอนซูเมอร์โปรดักต์ มีการเติบโต 5-7% แต่กลุ่มเสื้อผ้าและเครื่องสำอางทรงตัว เนื่องจากการแข่งขันที่สูงจากสินค้าอินเตอร์แบรนด์ที่รุกตลาดอย่างหนัก ทั้งนี้คาดว่าจากการปรับหลาย ๆ อย่าง และการออกมาทำกิจกรรมกระตุ้นตลาด จะช่วยผลักดันให้เครือสหพัฒน์มีการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 1-2%

ในยุคของการเปลี่ยนผ่านทางการค้าครั้งสำคัญ คนที่ปรับตัวเท่านั้นจึงจะอยู่รอด…