
ปัจจุบันเหล่าผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำธุรกิจจากปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการช่วงชิงพื้นที่ในหัวใจของผู้บริโภคท่ามกลางตัวเลือกแบรนด์ที่มีอยู่ในท้องตลาดมากมาย ทำให้การสร้างความโดดเด่นผ่านวิธีคิดและมุมมองการทำงาน เพื่อนำเสนอเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสนใจลำดับต้น ๆ
ในงาน Thailand Marketing Day 2025 “The Next Marketing Battle จัดทัพฝ่าสมรภูมิการตลาดยุคใหม่” โดย “สมาคมการตลาด” มีตัวแทนผู้ประกอบการรุ่นใหม่อย่าง “กัญญฉัชฌ์ เลิศธนไพบูลย์” ผู้ก่อตั้งแบรนด์สกินแคร์ “เฮอ ไฮเนส” (Her Hyness) “ทนงศักดิ์ แซ่เอี้ยว” ผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้า “ยืดเปล่า” (Yuedpao) และ “ธัณย์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญ” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ชาไทย “การัน” (Karun) มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การสร้างแบรนด์ให้มัดใจผู้บริโภคจนมีรายได้หลักร้อยล้านบาท ภายใต้หัวข้อ “ไม่เจ๋งก็เจ๊ง : วัดใจแม่ทัพคนรุ่นใหม่ ปั้นแบรนด์ยังไงให้ปัง” ซึ่งผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไฟแรงแต่ละคนได้แบ่งปันประสบการณ์ของตนเองไว้อย่างไม่หวงสูตร
เติมช่องว่างตลาดสกินแคร์
“กัญญฉัชฌ์” เล่าว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Her Hyness นั้นมาจากการมองเห็นช่องว่างของตลาดที่ยังไม่มีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตนเองได้อย่างเต็มที่ จึงคิดจะนำประสบการณ์ และความรู้เรื่องการบริหารจากการทำงานกับแบรนด์ความงามต่าง ๆ เช่น ลอรีอัล (L’Oreal), เอสเต้ ลอเดอร์ (Estee Lauder) รวมถึงการเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดที่แมค คอสเมติกส์ (MAC Cosmetics) มาปรับใช้เพื่อสร้างแบรนด์ไทยที่สามารถไปสู่ระดับโลกได้ จึงเริ่มก่อตั้งแบรนด์ Her Hyness ในปี 2559

สำหรับการตั้งชื่อแบรนด์นั้น ช่วงแรกใช้ชื่อแบรนด์ว่า “Her Highness” มาจากการใช้ Royal Jelly (นมผึ้ง) ซึ่งเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงเป็นส่วนผสมหลัก จึงตั้งชื่อให้สะท้อนถึงความพรีเมี่ยม ก่อนตัดสินใจรีแบรนด์ โดยปรับจากคำว่า “High” เป็น “Hy” ที่มาจาก Hydration (ความชุ่มชื้น) และ Hygiene (ความสะอาด) ซึ่งเป็น 2 เรื่องสำคัญของการทำสกินแคร์ และยังออกเสียงใกล้กับชื่อเดิม ซึ่งเริ่มติดตลาดแล้วอีกด้วย
สกินแคร์ก็ “สวย” ได้
“กัญญฉัชฌ์” เล่าต่อว่า หนึ่งในกลยุทธ์เด่นของแบรนด์ Her Hyness คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยแนวคิดที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดสกินแคร์ ซึ่งช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์
โดยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือสกินแคร์ที่วางขายอยู่ในท้องตลาดจะมีความคล้ายคลึงกันหมด ด้วยความที่แบรนด์สกินแคร์จะผูกติดกับเรื่องการวิจัย ประสิทธิภาพการทำงาน และความอ่อนโยนต่อผิว ทำให้สีของบรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่จะออกไปทางสีขาว หรือสีฟ้า เพื่อสื่อไปในเชิงการแพทย์
แต่ Her Hyness มองต่าง และพยายามออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความสวยงาม มีสุนทรียศาสตร์ (Aesthetic) ทำให้ลูกค้าเกิดความอยากใช้และนำไปวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการและเพนพอยต์ของลูกค้าด้วย เช่น ครีมกันแดด ที่มีเนื้อบางเบา แต่ยังคงประสิทธิภาพการกันแดดได้อย่างครบถ้วน และแผ่นมาสก์หน้า (Sheet Mask) ที่เห็นผลจริงหลังการใช้งาน จนกลายเป็นสินค้ายอดนิยมของแบรนด์
“กลยุทธ์ในช่วงแรกจะเป็นการต่อยอด Know-How จากชีวิตการทำงาน ด้วยการส่งผลิตภัณฑ์อยู่ 3 กลุ่ม คือ น้ำตบ, ครีม และเซรั่ม วางขายตามหน้าร้านรีเทลเป็นหลักเพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจมากที่สุด ส่วนปัจจุบันมี‘ครีมกันแดด’ เป็น Hero Product ที่ทำให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น โดยความทุ่มเทในการทำตลาดตั้งแต่ปี 2563 และความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อสินค้า เป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์โตระดับเท่าตัวทุกปี จนปี 2567 รายได้ทะลุพันล้านบาท”
สูตรลับฉบับ “ยืดเปล่า”
ด้าน “ทนงศักดิ์” เล่าถึงการทำแบรนด์ยืดเปล่าว่า แต่เดิมแบรนด์ขายแค่กางเกงบ็อกเซอร์อย่างเดียว พร้อมพยายามลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจต่อยอดธุรกิจเดิมและขยายตลาดด้วยการผลิตเสื้อยืด เนื่องจากมองว่าเป็นโอกาสในการทำธุรกิจ ณ เวลานั้น

“อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและแฟชั่นมีการแข่งขันสูงมาก แต่ก็หมายความว่ามีโอกาสดี ๆ ซ่อนอยู่ไม่แพ้กัน”
ในส่วนของแนวคิดในการพัฒนาสินค้าตามสไตล์ของยืดเปล่านั้น ต้องเริ่มจากการหาว่าแบรนด์มีจุดแข็งหรือความโดดเด่นอย่างไร รวมถึงต้องหยิบยกประเด็นที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงในตลาดมาเป็นจุดสร้างความแตกต่าง พร้อมทั้งมองหาจุดที่แบรนด์จะสามารถชนะคนอื่นได้ (Winning Zone) เช่น การทำเสื้อ “โคตรนุ่ม” ที่มีจุดแข็งในเรื่องของราคา ซึ่งไม่มีเจ้าอื่นในตลาดที่ตั้งราคาได้เท่ายืดเปล่า
นอกจากนี้ การสรุปสิ่งที่แบรนด์อื่น ๆ ทำว่าตอนนี้กำลังโฟกัสเรื่องอะไร หรือแม้แต่สิ่งที่เราทำเพื่อดูว่าลูกค้าเชื่อมั่นเรื่องอะไรกับแบรนด์บ้าง จะช่วยให้สามารถคิดหาวิธีรุกตลาดผ่านการนำเสนอสิ่งที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Uniqueness)
“แม้ว่าเราจะเป็นบริษัทที่เริ่มด้วยต้นทุนจำนวนไม่มาก จึงต้องเรียนรู้งานทุก ๆ เรื่อง และลองผิดลองถูกกับหลาย ๆ อย่าง แต่ทุกสิ่งล้วนทำให้เรารู้ลึกในเรื่องของผลิตภัณฑ์ การออกแบบ และการควบคุมราคา นำไปสู่ความเข้าใจลูกค้าอย่างแม่นยำเวลาต้องทำผลิตภัณฑ์ขึ้นมาสักชิ้น”
เริ่มจากชาไทยรสมือแม่
ส่วน “ธัณย์ณภัคช์” เล่าถึงการปั้นแบรนด์ Karun ว่า แคแร็กเตอร์ของแบรนด์สะท้อนความเป็นชาไทย “รสมือแม่” อยู่แล้ว เพราะเครื่องดื่มเป็นสูตรของคุณแม่ และก่อนที่จะเปิดร้านยังสำรวจตลาด และทำรีเสิร์ชเรื่องความชอบของคนอยู่นาน จนเจอช่องว่างในตลาดและเข้าไปเติมเต็มช่องว่างนั้นด้วยการ “Customize” ทุกองค์ประกอบ แม้จะทำให้ต้นทุนของแบรนด์สูงมากก็ตาม

“แนวคิดในการสร้างความแตกต่างของ Karun คืออะไรที่คนอื่นทำ เราจะไม่ทำ และเราจะไม่ทำอะไรที่เราไม่ใช่ First Mover หรือคนที่ทำสิ่งนั้นเป็นคนแรก”
ชาไทยเป็นอะไรก็ได้
“ธัณย์ณภัคช์” ย้ำว่า คอนเซ็ปต์ในการทำแบรนด์ของ Karun คือ “Endless Possibility of Thai Tea” ชาไทยสามารถเป็นอะไรก็ได้ และด้วยความตั้งใจที่อยากจะยกระดับชาไทยให้เป็นสินค้าที่คนซื้อในราคาแพงได้โดยไม่มีข้อกังขา จึงต้องมั่นใจว่าลูกค้าจะได้อะไรกลับไปจากการซื้อเครื่องดื่มของแบรนด์
หนึ่งในนั้นก็คือ การทำให้เครื่องดื่มสามารถเป็นเครื่องประดับของผู้ดื่ม โดยนอกจากโลโก้และคู่สีที่ใช้แล้ว ต้องมีภาพลักษณ์และการถ่ายทอดอารมณ์ไปสู่ลูกค้า ช่วยให้เครื่องดื่มธรรมดา ๆ ที่คนรู้จักดีอยู่แล้วอย่าง “ชาไทย” สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้
“การที่เรามอบทั้งภาพลักษณ์ที่ดีและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า จะสร้างความเชื่อมั่น และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์”
อย่างไรก็ตาม จุดร่วมที่เห็นได้ชัดจาก 3 แบรนด์นี้ คือการอยู่ในอุตสาหกรรม Red Ocean ที่ผู้เล่นแต่ละรายขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ซึ่งการจะเอาตัวรอดจากคู่แข่งที่รายล้อมอยู่รอบตัวได้ แบรนด์ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างความแตกต่างได้ เพื่อให้ลูกค้านึกถึงเราก่อนคนอื่นเสมอ