
รพ.มาสเตอร์พีช กางแผนปี 2568 เดินหน้าขยายฐานลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย ชูกลยุทธ์ “อินฟลูเอนเซอร์” ดึงดูดกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง พร้อมรุกขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาค เสริมแกร่งกิจกรรม ESG ตั้งเป้าปี 2568 จะมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเป็น 40% และมีรายได้เติบโต 20%
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมความงามในไทยมีมูลค่ารวม 60,000-70,000 ล้านบาทต่อปี เติบโตอยู่ราว 5.7% (รวมกลุ่มแอนไทเอจจิ้งและสกินแคร์)
โดยผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) บริษัทมีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโต 8.9% จากปี 2566 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 303 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2566
ปัจจัยจากที่บริษัทได้ทำการตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน และตลาดใหญ่ในแถบเอเชีย จึงส่งผลให้มีลูกค้าเข้ามารับบริการสูงขึ้น โดยปัจจุบัน รพ. มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 25% และในปี 2568 ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติให้เป็น 40% เพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์เป็น Regional Company ขณะที่รายได้ตั้งเป้าเติบโตเป็น 20% ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิม 2-3 ปี
ก้าวสู่ Regional Company
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 เพื่อก้าวสู่การเป็น Regional Company ตามที่ตั้งเป้าไว้ บริษัทจึงได้เสริมความร่วมมือกับ MASTER PARTNER ในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทั้งการขยายไลน์ธุรกิจไปกับพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ อาทิ กลุ่มจิตเวช และการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อรองรับการเติบโต และยกระดับความแข็งแกร่งของบริษัทไปยังตลาดอาเซียน เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
รวมถึงบริษัทยังคงมุ่งเน้นการทำกิจกรรม ESG ดูแลสังคมสิ่งแวดล้อม อาทิ คาร์บอนฟุตปริ๊นต์และโซลาร์เซลล์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมการช่วยเหลือแก้ไข 9 เคสลูกค้ามูลค่าหลัก 10 ล้านบาทในปีแรก ปีที่ 2 ก็ทำต่อเนื่องเช่นกัน แต่เป็นในเคสปรับลุคให้เขากลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้
“การที่บริษัทได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ SET จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมศักยภาพให้ MASTER แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเอื้อให้นักลงทุนและกองทุนต่างชาติเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจมากขึ้นเช่นเดียวกัน”
บุกเจาะตลาดอินโดฯ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนใช้กลยุทธ์ “อินฟลูเอนเซอร์” ในตลาดสำคัญอย่างอินโดนีเซียอีกด้วย โดยเบื้องต้นจะมีการร่วมงานกับนางงามชื่อดังของประเทศอินโดนีเซีย เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวอินโดนีเซียให้เดินทางมาใช้บริการที่ประเทศไทย
โดยปัจจุบันกลุ่มลูกค้าอินโดนีเซีย ถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีสัดส่วนสูงสุดถึง 38% จากลูกค้าต่างชาติทั้งหมด ประกอบกับเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายสูงกว่าลูกค้าชาวไทย จึงทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในการที่จะเข้าไปขยายตลาด
แนะภาครัฐส่งเสริมฮับเวลเนส
นางสาวลภัสรดา กล่าวต่อว่า ถึงแม้อุตสาหกรรมความงามในไทยจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจด้านศัลยกรรม แต่ก็ยังคงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐเพิ่มเติมในด้านการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพ (Wellness Hub) แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แต่การใช้จ่ายของชาวต่างชาติในส่วนนี้อาจยังไม่สูงเท่าที่ควร
รวมถึงยังอยากให้ภาครัฐพิจารณามาตรการคุ้มครองเพิ่มเติมในด้านการควบคุมการจัดกิจกรรมทางการแพทย์ของบุคลากรต่างชาติ เช่น แพทย์จากประเทศเกาหลี ที่อาจเข้ามาดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง โดยเน้นย้ำว่าปัจจุบันมาตรฐานการแพทย์ของไทยมีความก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศเกาหลี และยังมีจุดแข็งด้านการบริการที่เหนือกว่า เห็นได้จากจำนวนเคสแก้จากประเทศเกาหลีที่เข้ามารับบริการในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก