
TCL ตั้งเป้าชิงเจ้าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยภายในปี 2570 ด้วยยุทธศาสตร์ 5 ข้อ ประเดิมแผนปี ’68 ขนทัพสินค้าพรีเมี่ยม-นวัตกรรมเฉพาะตัว อัพเกรดบริการหลังการขาย
แบรนด์จีนกระแสแรง
แกรี่ จ้าว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ TCL ฉายภาพว่า การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าของผู้บริโภคไทยในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับ 4 ประเด็นหลัก คือ ตัวสินค้าต้องมีคุณภาพ-ฟังก์ชั่นตอบโจทย์, ราคาเหมาะสม, การรับประกันหลังการขายยาวนาน-บริการที่ดี และมาจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
ขณะเดียวกันเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดของเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์จีนทุกรายรวมกันจะมีสัดส่วนประมาณ 50% ของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยมูลค่า 85,000 ล้านบาท ส่วนอีกประมาณ 50% เป็นของแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้รวมกัน
กาง 5 ยุทธศาสตร์ชิงเบอร์ 1
บริษัทจึงมุ่งต่อยอดโมเมนตั้มการเติบโตนี้ เพื่อมุ่งสู่แบรนด์เครื่องใช้ไฟ้ฟ้าอันดับ 1 ในไทย ภายในเวลา 3 ปีหรือภายในปี 2571 ด้วย 5 ยุทธศาสตร์ คือ
1. สินค้าจะต้องมีคุณภาพและฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
2. การตั้งราคาสินค้า ซึ่งในราคาที่เท่ากับสินค้าของ TCL จะต้องมีคุณภาพสินค้าที่ดีกว่าคู่แข่ง
3. จุดจำหน่ายครอบคลุม และจัดแสดงสินค้าให้โดดเด่น
4. อบรมพนักงานขายให้สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ทั้งด้านสเปกส์สินค้า และการเลือกสินค้าให้ตรงกับความต้องการ
5. อัพเกรดบริการหลังการขายให้ครอบคลุมและบริการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
พร้อมปรับภาพลักษณ์แบรนด์ไปสู่แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมี่ยม และกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน โดยเฉพาะผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและความสะอาดของอากาศอย่าง ผู้ป่วยภูมิแพ้ เพื่อเลี่ยงการแข่งขันราคาดุเดือดในตลาดแมส
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในสินค้าหมวดต่าง ๆ ที่บริษัททำตลาดทั้งแอร์, ทีวี, ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า จนมีส่วนแบ่งตลาดร่วมเป็นอันดับ 1 ตามเป้าที่วางไว้
ประเดิมปี ’68 เพิ่มงบ 40% พร้อมทัพสินค้าไฮเอนด์
เพื่อบรรลุเป้าที่ตั้งไว้ ในปี 2568 นี้ บริษัทเพิ่มงบการตลาดสูงกว่าปี 2567 อีก 40% พร้อมขนทัพสินค้าใหม่ซึ่งมีจุดเด่นด้านนวัตกรรมและฟังก์ชั่น ตามแนวทางให้ฟังก์ชั่นมากกว่าคู่แข่ง มีไฮไลท์เป็น แอร์รุ่น FreshIN 3.0 ซึ่งมีฟังก์ชั่นสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย โดยไม่ต้องต่อเชื่อมอินเตอร์เน็ต และระบบ AI ที่ควบคุมการทำงานให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น เสริมกับฟังก์ชั่นที่เป็นจุดเด่นของแบรนด์ TCL อย่างการดึงอากาศจากภายนอกเข้ามาในบ้านผ่านระบบกรองอากาศ
โดยเริ่มวางจำหน่ายแอร์รุ่น FreshIN 3.0 ขนาด 10,000 บีทียู 12,000 บีทียู และ 19,000 บีทียู ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 นี้
ตามด้วยในช่วงกลางปี 2568 จะเปิดตัวทีวีระดับไฮเอนด์เป็นครั้งแรกในไทย ด้วยรุ่น A300 Pro ที่มีจุดเด่นเป็นการจับมือกับแบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์อย่าง B&O และจะนำทีวีไซส์ใหญ่ 160 นิ้ว ที่ปกติขายเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เข้ามาจำหน่ายในไทยแบบเมดทูออร์เดอร์ รวมถึงจะนำทีวีไซส์เล็ก 32 นิ้ว ที่ใช่หน้าจอแบบ QLED เข้ามาจำหน่ายด้วย
รวมถึงมีแอร์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ 18,000 บีทียู และแอร์เชิงพาณิชย์อีก 16 รุ่น แบ่งเป็นฝังฝ้า 4 ทิศทาง 8 รุ่น และแบบติดผนัง 8 รุ่น เสริมทัพกับไลร์อัพเดิมที่มี 10 รุ่น อีกด้วย

อัดโปรฯ -ขยายศูนย์บริการ ตอบโจทย์ความเชื่อมั่น
นอกจากนี้ยังจัดโปรโมชั่นตอบโจทย์ความกังวลของผู้บริโภคที่อายุใช้งานแผ่นกรองอากาศในแอร์ โดยผู้ที่ซื้อแอร์รุ่นที่ร่วมรายการในเดือนม.ค. – ก.พ. 68 จะได้รับแผ่นกรองอากาศสำหรับแอร์ฟรี 3 ชุด เพียงพอสำหรับใช้การงานนาน 2 ปี
ร่วมกับการรับประกันตัวเครื่อง 5 ปี ครอบคลุมค่าอะไหล่และค่าแรง ส่วนคอมเพรสเซอร์รับประกัน 10 ปี
ขณะเดียวกันจะเดินหน้าขยายศูนย์บริการทั้งระดับเพิ่มแบบรายเดือน เช่นเดียวกับการขยายศูนย์อะไหล่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้น
มั่นใจยอดขายปี ’68 แตะ 10,000 ล้านบาท
แกรี่ จ้าว กล่าวต่อไปว่า ปี 2568 นี้ TCL ตั้งเป้ายอดขายรวม 10,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2567 ซึ่งมียอดขายรวม 8,000 ล้านบาท โดยเพียงช่วงไตรมาสแรกคาดว่าโครงการ Easy E-Receipts 2.0 จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ 20-30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแอร์ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 500,000 เครื่อง ในจำนวนนี้เป็นรุ่น FreshIN 3.0 จำนวน 10,000 เครื่อง หลังปี 2567 ทำยอดขายแอร์ได้ 380,000 เครื่อง
ส่วนทีวี ตั้งเป้ายอดขาย 400,000 เครื่อง ส่วนปี 2567 ทำยอดขายได้ 300,000 เครื่อง
และในปี 2570 คาดว่าจะมียอดขาย 17,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า 20% จากการที่แอร์ และทีวีเป็นเบอร์ 1 ส่วนตู้เย็นและเครื่องซักผ้าอยู่ใน Top 3 ซึ่งจะทำให้แบรนด์ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้