“แบลคมอร์ส” เร่งขยายฐานลูกค้า บุกร้านสะดวกซื้อ-ออนไลน์จับคนรุ่นใหม่

blackmores
แอนดรูว์ ฟัวรี่

แบลคมอร์สรุกหนักปี’68 โฟกัสขยายช่องทาง “สะดวกซื้อ-ร้านยา-ออนไลน์” เผยแนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 8,000 ล้านบาท เติบโต 3-5% พร้อมพัฒนาสินค้าไซซ์เล็กราคาจับต้องง่าย เจาะร้านสะดวกซื้อจับคนทำงานชวงครึ่งปีหลัง พร้อมผนึกซิลลิคฯ กระจายสินค้าเข้าร้านยาอิสระ พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ช่องทางออนไลน์เท่าตัว หวังบรรลุเป้าฐานลูกค้าทั่วโลกแตะ 1,000 ล้านคนในปี 2573

นายแอนดรูว์ ฟัวรี่ กรรมการผู้จัดการ ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเกาหลี แบลคมอร์ส กรุ๊ป ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์แบลคมอร์ส เปิดเผยว่า ปี 2567 ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3-5% ในปี 2568 นี้ เนื่องจากอัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ที่สูงถึง 8 ใน 10 ครัวเรือนไทยขณะเดียวกันผู้บริโภคชาวไทยยังมีความกังวลด้านสุขภาพหลายด้าน ซึ่งนำไปสู่ความต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

นอกจากนี้การแข่งขันซึ่งเน้นด้านนวัตกรรมมากกว่าราคา เช่น ความสามารถในการดูดซึมสารต่าง ๆ ยังช่วยกระตุ้นความคึกคักให้กับตลาด และดึงดูดผู้บริโภคเข้ามา จึงนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวก

“การเข้าถึง-ราคา” โจทย์ท้าทาย

นายแอนดรูว์กล่าวว่า เซ็กเมนต์ที่มีศักยภาพสูงสุดจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสนใจนับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นต้นมา รวมถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังเกี่ยวข้องกับร่างกายหลายด้าน ตั้งแต่ด้านสุขภาพ ไปจนถึงผิวพรรณ-ความงาม จึงมีดีมานด์จากทุกเพศทุกวัย และมีสินค้าหลากหลาย

สำหรับเซ็กเมนต์อื่นที่มีศักยภาพ อาทิ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการนอนหลับ และความเครียด รวมถึงการรักษาคุณภาพทางสุขภาพในวัยชรา (Healthy Aging) ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้บริโภควัยทำงานให้ความสนใจ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม-ผิวพรรณ ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มที่อายุน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความท้าทายในเรื่องความสามารถในการเข้าถึงสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ไม่มากนัก ทำให้ไม่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มักวางจำหน่ายในแพ็กเกจไซซ์ขนาดใหญ่หลายสิบเม็ด และราคาค่อนข้างสูงได้

ADVERTISMENT

รุกร้านสะดวกซื้อ-เจาะคนทำงาน

นายแอนดรูว์กล่าวต่อไปว่า จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทย ประกอบกับเป้าหมายระดับโกลบอลที่ต้องการมีฐานลูกค้าทั่วโลกเพิ่มจาก 650 ล้านคนในปัจจุบัน เป็น 1,000 ล้านคนภายในปี 2573 ทำให้ในปี 2568 นี้ แบลคมอร์สมีแผนเดินหน้าขยายฐานลูกค้าชาวไทยเพิ่ม ด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก คือ การขยายช่องทางจำหน่ายเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายยาอิสระ และอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากต่างเป็นช่องทางที่มีศักยภาพ แต่บริษัทยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่มากนัก

อีกยุทธศาสตร์ คือ การพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ที่ราคาจับต้องง่ายมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ที่มีรายได้ไม่สูงนัก และสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มนิชต่าง ๆ สุดท้ายคือการให้ความรู้กับผู้บริโภคเพื่อสร้างดีมานด์

ADVERTISMENT

โดยร้านสะดวกซื้อ อาทิ เซเว่นอีเลฟเว่นนั้น เป็นช่องทางที่มีศักยภาพ เพราะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้จำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานที่มักแวะมาจับจ่ายในร้านสะดวกซื้อก่อนไปทำงาน หรือก่อนกลับบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักมีความกังวลด้านสุขภาพ-มองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาบริษัทยังมีสินค้าวางจำหน่ายในช่องทางนี้ไม่มากนัก

ผนึกซิลลิค ฟาร์มาบุกร้านยา

เช่นเดียวกับช่องทางอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทวีความสำคัญมากขึ้น แต่ปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายจากช่องทางนี้เพียง 8% ของยอดขายรวมเท่านั้น เนื่องจากเริ่มส่งสินค้าเข้าไปได้ไม่นาน จึงต้องเร่งส่งสินค้าเข้าไปมากขึ้น และสร้างยอดขายเพิ่ม ด้วยเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากอีคอมเมิร์ซขึ้นเท่าตัวเป็น 16% ของรายได้รวมภายในอีก 3 ปีข้างหน้า

ส่วนร้านยาอิสระ ซึ่งไม่ใช่ร้านที่มีเครือข่ายสาขาอย่างวัตสัน หรือบู๊ทส์นั้น เป็นอีกช่องทางที่มีศักยภาพ แต่มีความท้าทายด้านการกระจายสินค้าให้ทั่วถึง บริษัทจึงแก้โจทย์นี้ด้วยการจับมือกับซิลลิค ฟาร์มา ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในไทย เพื่อช่วยกระจายสินค้าเข้าสู่ร้านยาต่าง ๆ ตามแผนชิงส่วนแบ่งตลาดในช่องทางนี้เพิ่ม

มุ่งสินค้าไซซ์เล็กราคาจับต้องง่าย

ขณะเดียวกันบริษัทจะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ พัฒนาผลิตภัณฑ์ไซซ์ใหม่ที่มีขนาดบรรจุน้อยลง เช่น แพ็กเกจแบบแผงบรรจุ 10 เม็ด สำหรับส่งเข้าสู่ช่องทางร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากสามารถตั้งราคาจำหน่ายให้จับต้องได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับแพ็กเกจปัจจุบันที่มักมีขนาดหลายสิบเม็ดถึงหลักร้อยเม็ด

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนา คาดว่าจะสามารถเปิดตัวและวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปี 2569

นอกจากนี้จะมีผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ หรือใช้วัตถุดิบใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแบบเม็ดที่เคี้ยวได้ ซึ่งอนาคตอาจต่อยอดไปเป็นกัมมี่หรือเยลลี่ด้วย เนื่องจากช่วยสร้างความแปลกใหม่ และเพิ่มความสะดวกในการทาน เมื่อเทียบกับแบบเม็ดแข็งปกติซึ่งหลายครั้งมีขนาดใหญ่จนอาจทานลำบาก หรือการใช้วัตถุดิบจากพืช 100% ตามเทรนด์แพลนต์เบส หรือกลุ่มมังสวิรัติ (Vegan) เป็นต้น

เปิดตัวสินค้าใหม่ฉลอง 30 ปี

นางสาวปรีติ ฮาไล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท แบลคมอร์ส จำกัด กล่าวเสริมว่า ในระหว่างนี้ บริษัทใช้วาระครบรอบ 30 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 ตัว ได้แก่ ไบโอ ซี 500 มก. เดลี ไอมู พลัส เม็ดเคี้ยว (Blackmores Bio C 1000 mg Daily Imu+ and Bio C 500 mg Daily Imu+ Chewable) เพื่อเพิ่มโอกาสการบริโภค และเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภคที่อาจทานแบบเม็ดได้ลำบาก
และ “แพลนต์เบส โอเมก้า-3” (Plant-based Omega-3) ซึ่งสามารถตอบโจทย์ของทั้งกลุ่มผู้ทานมังสวิรัติ และผู้ที่แพ้อาหารทะเล หรือผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส รวมถึงยังมีแบลคมอร์ส ไบโอ ซี 1,000 มก. เดลี ไอมู พลัส อีกด้วย

พร้อมจัดอีเวนต์สร้างการรับรู้ ย้ำความเชื่อมั่นจากการทำตลาดในไทยมา 30 ปี และโพซิชั่นผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์วิตามินและอาหารเสริมในประเทศไทย ด้วยงาน 30th Anniversary Blackmores Thailand, Better you Brighter Tomorrow ที่สยามพารากอน เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 พร้อมเชิญคนดังอย่างแอน ทองประสม, อาเล็ก ธีรเดช และฟรีน สโรชา มาร่วมพูดคุยเรื่องสุขภาพภายในงาน เพื่อย้ำความเชื่อมั่น และสร้างการรับรู้ไปยังฐานแฟนคลับ

นอกจากนี้ จะเดินหน้าให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพแก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เน้นให้ทราบถึงสภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้น ซึ่งจะนำไปสู่ความต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อตอบโจทย์ด้านสุขภาพ

“เราเชื่อว่านอกจากการออกกำลังกาย พักผ่อนนอนหลับเพียงพอ การรับสารอาหารครบถ้วน เปรียบเหมือนจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มทำให้สุขภาพดี ช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้ปกติ” นางสาวปรีติกล่าว

ทั้งนี้ เชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยสร้างการเติบโตและขยายฐานลูกค้าของแบลคมอร์สในไทย และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายการมีฐานลูกค้าทั่วโลกครบ 1,000 ล้านคนภายในปี 2573 ตามที่วางไว้ได้